โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง ท้องเสีย
ถ่ายเป็นน้ำ
มีไข้ต่ำ
อ่อนเพลีย
ในบางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น ภาวะขาดน้ำ ภาวะช็อก เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
แนวทางการรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
การรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ดังนี้
การติดเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียนี้ ยาปฏิชีวนะที่มักใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ได้แก่
อะโมกซีซิลลิน (Amoxicillin)
คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin)
กรดเมโทรนิดาโซล (Metronidazole)
การติดเชื้อไวรัส มักเกิดจากเชื้อไวรัส โนโรไวรัส (Norovirus) หรือ โรต้าไวรัส (Rotavirus) ผู้ป่วยมักมีอาการดีขึ้นเองภายใน 1-2 วัน แพทย์อาจให้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้อาเจียน ยาแก้ท้องเสีย และยาลดไข้
การติดเชื้อปรสิต มักเกิดจากเชื้อปรสิต ไกอาเดีย (Giardia) หรือ คริปโตสปอริเดีย (Cryptosporidia) แพทย์มักให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อปรสิตนี้ ยาปฏิชีวนะที่มักใช้รักษาการติดเชื้อปรสิตไกอาเดีย ได้แก่
ฟลูโอโรคินอลอน (Fluoroquinolones)
อะมิโนกลูติมิด (Aminoglycosides)
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป เป็นต้น
การป้องกันโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค
ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง
เก็บอาหารไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทิ้งไว้นาน
หากมีอาการของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง