ทำความเข้าใจ ‘ไขมันทรานส์’ คืออะไร? ก่อนไทยห้ามจำหน่าย (คลิป)
หน้าแรกTeeNee รวมเรื่องสุขภาพดีๆ ข่าวสุขภาพและสุขภาพทั่วไป ทำความเข้าใจ ‘ไขมันทรานส์’ คืออะไร? ก่อนไทยห้ามจำหน่าย (คลิป)
ภัยร้ายของ ‘น้ำตาล’ และ ‘ไขมันทรานส์’
จากผลงานวิจัยของ TDRI พบผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด อุบัติเหตุหลอดเลือดในสมอง และมะเร็งเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก เหตุใดกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ดำเนินการในการป้องกัน และควบคุมผลิตอาหารที่มีประเภทน้ำตาลและไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักสำคัญ
เชิญรับชมคลิปวิดีโอ
vvvv
vvv
vv
v
ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เผยแพร่บทความที่อ้างอิงจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เรื่องโครงการศึกษาผลลัพธ์ทางสุขภาพ และความเป็นธรรมทางสุขภาพ แล้วพบว่า :
"ปี 2550-2554 ผู้สูงอายุ 60 ปี สิทธิบัตรทอง ที่ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมอง โรคมะเร็ง จะเสียชีวิตในหนึ่งปีมากกว่าสิทธิข้าราชการถึง 70,000 กว่าคน หรือคิดเป็นร้อยละ 70
ส่วนผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด อุบัติเหตุหลอดเลือดในสมอง และมะเร็ง จะเสียชีวิตมากผิดปกติ ต่างจากโรคอื่น 30,000 กว่าคน"
และในขณะที่เรากำลังถกเถียงเรื่องที่น่าสนใจในเรื่องอัตราการตายด้วยโรคเหล่านี้ ก็เกิดคำถามว่าเหตุใดกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่ดำเนินการในการป้องกันสาเหตุของโรคยอดฮิตในยุคนี้ ก็เพราะไม่มีควบคุมผลิตอาหารที่มีทั้ง "น้ำตาล" และ "ไขมันทรานส์" ให้ได้อย่างดีพอ?
ไขมันทรานส์ คืออะไร
กรดไขมันทรานส์ผสมอยู่ในเบเกอรี่ หรือ โดนัท ที่มีวางขายทั่วไปที่ใช้ เนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม หรือมาการีน และเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเพิ่มระดับไขมันเลว (LDL) และลดไขมันดี (SDL) ในเส้นเลือด ซึ่งนำไปสู่โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ รวมถึงโรคเบาหวานอีกด้วย
กรดไขมันทรานส์ ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันพืช เพื่อทำให้น้ำมันพืชสามารถคงสภาพแข็งตัวหรือกึ่งแข็งกึ่งเหลว และมีอายุเก็บไว้ได้นานกว่าเดิม
ถึงแม้มันจะช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารลดต้นทุนในการผลิต และเคยถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าไขมันธรรมชาติ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันแล้วว่ามันเป็นภัยต่อสุขภาพ
เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก ประกาศแผนเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกห้ามการใช้ไขมันทรานส์ ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงต่ออัตราการเสียชีวิตก่อนวัยแล้วหลายล้านราย
ผลเสียจากไขมันทรานส์ มีให้เห็นในหลายประเทศ เช่น ในอินเดีย และปากีสถาน ที่ร้านอาหารนิยมใช้ น้ำมันเนยใส (vanaspati) ซึ่งทำจากน้ำมันปาล์ม น่าจะมีส่วนที่ทำให้อัตราผู้ป่วยโรคหัวใจในหมู่ประชากรเอเชียใต้นั้นสูงผิดปกติ
องค์การอนามัยโลกเชื่อว่า หากสามารถกำจัดไขมันทรานส์ให้หมดไปจากอุตสาหกรรมอาหารโลกภายในปี 2023 ความพยายามนี้อาจช่วยรักษาชีวิตของประชากรโลกได้กว่า 10 ล้านคน
เหตุใดไทยทำได้รวดเร็ว?
การประกาศของกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้ อาจดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความจริงแล้วมีการเริ่มศึกษาแนวทางในการเลิกใช้ไขมันทรานส์มาตั้งแต่ปี 2007 หรือกว่า 10 ปีมาแล้ว ตามคำกล่าวของ รศ.ดร. วันทนีย์ เกรียงสินยศ
รศ.ดร. วันทนีย์ ประธานหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล กล่าวว่าก่อนการประกาศกฎกระทรวงครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการหลายรายก่อนแล้ว และ “ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชน” แต่เตือนว่าไขมันทรานส์ไม่ใช่ไขมันเพียงชนิดเดียวในอาหาร
“มันยังมีไขมันอิ่มตัว ที่มาจากพวกของทอด หรือพวกกรดไขมันอิ่มตัวอยู่ ซึ่งอาจจะเทียบได้ว่าดีกว่าไขมันทรานส์ ตรงที่ไม่ได้ไปลดไขมันที่ดีในเส้นเลือด แต่ก็จะเพิ่มทั้งไขมันที่ดีและไม่ดี ซึ่งการกินมากเกินไป ก็จะทำเกิดความเสี่ยงเหมือนกัน”
ไม่มีไขมันทรานส์ ไม่ได้แปลว่าไขมันต่ำ
นั่นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คณะทำงานขององค์การอาหารและยา กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการติดฉลาก “ปราศจากไขมันทรานส์” หรือ “Trans fat free” ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่เข้าใจเชื่อได้ว่าเป็นอาหารไขมันต่ำ
หนึ่งในแนวทางที่อาจจะเกิดขึ้น คือ การกำหนดเกณฑ์ปริมาณไขมันอิ่มตัวสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการติดฉลากนี้ เช่นเดียวกับในหลายประเทศ
นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ ยังสามารถพบได้ในธรรมชาติ จากเนื้อสัตว์ประเภทเคี้ยวเอื้อง แต่มักในอยู่สัดส่วนที่น้อยกว่า ไขมันทรานส์จากการเติมไฮโดรเจนหลายเท่า
“กฎหมายบ้านเรา อาจจะไม่ได้ให้เขียนว่าไขมันทรานส์เป็น ศูนย์ เพราะถ้าเขียนเช่นนั้น โดยที่ประชาชนยังมีความเข้าใจไม่ครอบคลุม อาจทำให้บริโภคเยอะได้” รศ.ดร. วันทนีย์ กล่าว
“เราควรกินแต่น้อย แต่ไม่ถึงขั้นไม่ให้กินเลย”
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!