คัดจมูก น้ำมูกไหล อาจไม่ใช่หวัดธรรมดา เป็นไปได้ว่าผนังกั้นจมูกคด
ผนังกั้นจมูกคดคืออะไร ใครมีโอกาสเป็นได้บ้าง?
โรคผนังกั้นจมูกคดส่วนใหญ่มักเกิดจากการเจริญเติบโตของจมูกที่ผิดปกติ จนทำให้กระดูกอ่อนบริเวณส่วนด้านหน้าของจมูกนั้นยาวเกินไป ส่งผลให้เกิดการคดงอ หรือบิดเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง จนไปกดเบียดตัวช่องว่างของจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือในอีกกรณีหนึ่งก็คือ เกิดจากอุบัติเหตุจมูกหัก ทำให้กระดูกอ่อนงอแล้วผิดรูปไปได้ ซึ่งโดยปกติแล้วโรคผนังกั้นจมูกคดนี้ในรายที่เป็นมากๆ ตัวแกนจมูกจะบิดเบี้ยวจนสามารถมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า แต่สำหรับรายที่เป็นน้อย ก็อาจสังเกตเห็นไม่ได้ชัดนัก หรือมองไม่ออกว่าจมูกมีอาการผิดปกติ ทั้งนี้ โรคผนังกั้นจมูกคดนั้นมักพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีจมูกโด่ง เนื่องจากคนที่มีจมูกโด่ง บริเวณกระดูกอ่อนด้านหน้าจมูกจะยาวและมีโอกาสคดได้มากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ลูกครึ่ง จะพบว่าเป็นโรคผนังกั้นจมูกคดได้มากเป็นพิเศษ
สังเกตอาการอย่างไร มีโอกาสใช่เป็นโรคผนังกั้นจมูกคด?
โดยส่วนใหญ่แล้วคนไข้จะไม่ทราบเลยว่าตัวเองเป็นผนังกั้นจมูกคดหากไม่ได้เป็นมากจนมองเห็นว่าแกนจมูกบิดเบี้ยวผิดรูป ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะมาด้วยความรู้สึกแน่นจมูก บางคนมีอาการน้ำมูกไหล หายใจไม่ออก หรือบางคนก็อาจมาด้วยอาการนอนกรน มีเสียงฟุดฟิดที่จมูกตลอดเวลา แต่ทั้งนี้แพทย์ก็ต้องทำการวินิจฉัยดูก่อนว่าเป็นสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ เพื่อทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ อาการของโรคผนังกั้นจมูกคดที่เราควรตั้งไว้เป็นข้อสังเกต ได้แก่
-คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก
-มีอาการปวดในรายผนังจมูกที่คดไปชนกับเยื่อบุโพรงจมูก
-ในรายที่ผนังกั้นจมูกคดไม่มาก จะมีอาการคัดจมูกเป็นช่วงๆ ไม่ได้คัดตลอดเวลา และตรงกันข้ามกับในรายที่คดมาก ก็อาจทำให้คัดจมูกบ่อย ตลอดเวลาและอาจมีอาการปวดร่วมด้วย
วินิจฉัยอย่างไร ถึงแน่ใจว่าผนังกั้นจมูกคด?โดยปกติแล้วจะสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจร่างกาย ตรวจสอบรอยต่อของกระดูกอ่อนกับกระดูกบริเวณจมูก ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แพทย์จึงจะใช้กล้องเฉพาะพิเศษ ซึ่งเป็นกล้องที่ใช้สำหรับส่องดูโพรงจมูกและก็ไซนัส เรียกว่า Nasal Endoscopy และ ไซนูสโคป (Sinuscope) ซึ่งเมื่อส่องแล้วก็จะทำให้ทราบได้ว่าอาการคัดจมูกนั้น เกิดจากสาเหตุอะไร ใช่หรือไม่เพราะผนังกั้นจมูกคดกันแน่
ขั้นตอนในการรักษา เมื่อพบว่าผนังกั้นจมูกคด
สำหรับในคนไข้รายที่ผนังกั้นจมูกคดเพียงเล็กน้อย แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการให้ยา เพื่อควบคุมบรรเทาอาการคัดจมูก ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติและมีความสุขมากขึ้น โดยหากมีอาการคัดจมูกไม่มาก แพทย์จะมีสเปรย์สำหรับพ่นจมูก ซึ่งเป็นยาในกลุ่มสเตียรอยด์ให้ หรือในรายที่มีอาการปวด แพทย์ก็จะพิจารณาให้ยาบรรเทาอาการปวด ให้ยาเพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก เพื่อให้คนไข้ไม่ปวด ไม่คัดจมูก กล่าวคือ เป็นการรักษาตามอาการ ไม่ได้รักษาอาการคดของผนังจมูกให้หายไป
สำหรับในคนไข้รายที่ผนังกันจมูกคดมาก แพทย์ก็อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัดตกแต่งผนังจมูก (Septoplasty) ซึ่งก็จะเป็นการรักษาด้วยเทคนิคการผ่าตัดแบบส่องกล้อง โดยแผลจะอยู่ด้านในจมูก ทำให้ไม่ปรากฏแผลเป็นด้านนอก โดยระยะเวลาในการผ่าตัดนั้นจะขึ้นอยู่กับความคดของผนังกั้นจมูกว่าคดมากหรือน้อยเพียงใด รวมถึงตำแหน่งที่คดด้วยว่าอยู่ในจุดที่ง่ายต่อการผ่าตัดมากแค่ไหน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ทั้งนี้ในการผ่าตัดผนังกั้นจมูกคด แพทย์สามารถที่จะเชื่อมการรักษาเข้ากับการทำศัลยกรรมตกแต่งจมูกไปพร้อมกันได้ในคราวเดียวด้วย โดยสามารถนำเอากระดูกอ่อนที่ตัดทิ้งไป มาเสริมบริเวณส่วนปลายจมูกให้เชิดขึ้น โด่งขึ้น หรือมีรูปลักษณะที่ดีขึ้นได้ตามที่คนไข้ต้องการ และตามความเหมาะสมซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ปลอดภัยหลังผ่าตัดผนังกั้นจมูกคด?หลังจากการผ่าตัดผนังกั้นจมูกคดแล้ว แม้จะเป็นการผ่าตัดเล็ก แต่ก็ควรอยู่ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 คืน เพื่อเฝ้าดูอาการภาวะเลือดออก เลือดกำเดาไหล ทั้งนี้ หลังจากผ่าตัดแล้ว คนไข้อาจมีอาการปวดเมื่อหายใจ หรือมีเลือด หรือน้ำมูกไหลออกมาได้เป็นปกติ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์กว่าจะกลับเป็นปกติ ซึ่งผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดผนังกั้นจมูกคดได้ โดย
-ทำความสะอาดแผลด้านในจมูกตามคำแนะนำของแพทย์
-1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ควรทำความสะอาดล้างจมูกเพื่อชำระคราบเลือดออก ลดการติดเชื้อในจมูก
ซึ่งจะได้รับคำแนะนำและสอนวิธีการล้างจมูกด้วยตนเองจากพยาบาลผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล
-มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการจนกว่าจะหายเป็นปกติ
อันตรายแค่ไหน ถ้าไม่รักษาผนังกั้นจมูกคด?โรคผนังกั้นจมูกคดเป็นโรคที่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นโรคที่ทำให้มีอาการรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ซึ่งนอกจากจะทำให้คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ปวดจมูกแล้ว ยังเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนได้ด้วย ดังนั้น หากพบว่าตัวเองมีอาการที่สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคผนังกั้นจมูกคด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีความสุข