อย่าชะล่าใจ! โรคนิ่วในถุงน้ำดี ภัยร้ายสำหรับผู้หญิงวัย40+
หน้าแรกTeeNee รวมเรื่องสุขภาพดีๆ สุขภาพผู้หญิง อย่าชะล่าใจ! โรคนิ่วในถุงน้ำดี ภัยร้ายสำหรับผู้หญิงวัย40+
โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 30 - 50 ปี ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจและคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงหายามารับประทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรงจึงมาเข้ารับการรักษา ฉะนั้นการรู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
นพ.คมเดช ธนวชิระสิน ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องและส่องกล้อง รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า ถุงน้ำดี (Gallbladder) คือ อวัยวะบริเวณช่องท้องที่ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการตกตะกอนของหินปูนหรือคอเลสเตอรอลในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่ว โดยลักษณะนิ่วมี 3 ประเภท ได้แก่ 1)นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมัน เนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำ 2)นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง ตับแข็ง 3)นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี ตับอ่อน
กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่ เพศหญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป คนที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักมาก มีโรคประจำตัว อาทิ คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน โรคเลือด โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย รวมถึงผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลายครั้ง กินยาคุมกำเนิด ทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือนผู้ที่อดอาหาร(ถือศีลอด) คนที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คนที่รับประทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด และมีพันธุกรรม ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อน การตรวจวินิจฉัยที่ดี คือการพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน จะทำให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีได้ชัดเจน หลายคนมีข้อสงสัยว่า ทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป เป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ถ้าหากมีโรคไขมันในเลือดสูง ทานยาคุมกำเนิดหรือทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน มีบุตรหลายคน เป็นโรคเบาหวาน โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีทั้งสิ้น ดังนั้น หากมีอาการน่าสงสัยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอัลตราซาวนด์โดยเร็วที่สุด
การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี หากผ่าตัดได้ แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งรูปแบบการผ่าตัดมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ที่จะใช้รักษาผู้ป่วยในกรณีที่มีการอักเสบมาก ถุงน้ำดีแตกทะลุในช่องท้อง จำเป็นต้องพักฟื้นค่อนข้างนาน และอีกหนึ่งรูปแบบคือการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ที่แพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือ จากนั้นใส่กล้องเข้าไปเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนทุกมิติ ก่อนจะตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก วิธีนี้นอกจากช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน แผลมีขนาดเล็ก เจ็บตัวน้อย ลดโอกาสการติดเชื้อ ผู้ป่วยฟื้นตัวไว ซึ่งการผ่าตัดรักษาควรทำภายใน 72 ชั่วโมง และหลังจากผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เพราะถุงน้ำดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ำดี แต่การรับประทานอาหารควรลดของมัน เน้นทานผักและปลามากขึ้น เพื่อลดอาการท้องอืดและสร้างสุขภาพดีได้ในระยะยาว
โรคนิ่วในถุงน้ำดีสามารถป้องกันได้ โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เลี่ยงของทอดของมัน ของหวาน ระวังไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการผิดปกติในลักษณะที่ชวนสงสัยควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นถุงน้ำดีเน่า หรือแตกจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเกิดมะเร็งถุงน้ำดีในอนาคตได้