วันนี้หมอหล่อขอเริ่มต้นพูดถึง #วิตามินซี (Vitamin C) เป็นตัวแรกก่อนนะครับ วิตามินซี เป็นวิตามินเพื่อนเก่าของเราตั้งแต่สมัยเด็กมาแล้วเพราะทุกครั้งที่ไปหาหมอ พ่อแม่เด็กๆ มักจะเอ่ยปากขอวิตามินซีจากหมอให้ลูกแทบทุกราย สรุปพ่อแม่หรือลูกที่อยากได้ ? อีกทั้งเรายังมีความรู้สมัยเรียนสุขศึกษากันว่าวิตามินซีได้จากผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว ฝรั่ง กีวี่ เป็นต้น และเจ้าวิตามินซีนี้แร่ะที่ทำให้เราไม่เป็นหวัดง่าย กินเเล้วผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวใส เห็นไหมครับว่าวิตามินซี คือ เพื่อนเก่าที่เราคุ้นเคยและเติบโตมากับเราตั้งแต่เล็กจนโต
จนถึงทุกวันนี้ เจ้าวิตามินซีก็เริ่มเป็นใหญ่เป็นโตได้ดิบได้ดีมากขึ้น เนื่องจากมีหลายการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมายหลายอย่างต่อสุขภาพของคนเรา ไม่ว่าจะเป็น
- เป็นวิตามินในกลุ่มที่ละลายน้ำได้ดี ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ทำงานร่วมกับ วิตามิน อี (Vitamin E) กลูต้าไทโอน (Glutathione) ในการจัดการกับเจ้าอนุมูลอิสระทั้งหลาย
- มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในร่างกาย
- ช่วยในกระบวนการหายของแผล
- ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือ ลักปิดลักเปิด (Scurvy)
- มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลชนิด LDL ที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (มีหลายงานวิจัยที่กล่าวถึงครับ)
- ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
- ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเราให้ดีขึ้นทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค การลดสารที่ทำให้เรามีอาการภูมิแพ้ เป็นต้น
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก
- และมีบางการศึกษาพบว่ายังมีส่วนในการลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เป็นต้น
ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มาจากหลายการศึกษาที่ทำในคนสุขภาพดีและคนไข้จำนวนหลายพันคน อย่างไรก็ตามอาจมีข้อมูลจากอีกหลายแหล่งทีไม่เห็นด้วย แต่เราก็พบว่า วิตามินซีเป็นวิตามินที่ค่อยข้างปลอดภัย และร่างกายเราก็สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ ไม่มีสะสมหรือตกค้างในร่างกาย ปัจจุบันบ้านเรากำหนดปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับในแต่ละวันไว้ที่ 60 mg/วัน (Thai RDI, 2538) ซึ่งปริมาณเท่านี้ เพียงพอแค่การป้องกันภาวะการขาดวิตามินซีที่จะทำให้เกิดโรคเท่านั้น (เช่น โรคลักปิกลักเปิด) แต่ถ้าเราหวังผลให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนที่กล่าวมาแล้วนั้น พบว่า ไม่เพียงพอครับ
ปริมาณเท่าไรดีนะถึงจะเพียงพอ ? อันนี้ตอบได้ยากครับ เพราะร่างกายเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน การดูดซึมก็แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไป ข้อมูลต่าง ๆ จากงานวิจัยมักแนะนำให้เริ่มต้นที่ 500 mg/วัน แต่ความเห็นของหมอหล่อเอง คิดว่าสัก 1000 mg/วัน ดูน่าจะเหมาะสมกว่าครับ เรารับจากอาหาร ผัก ผลไม้ อย่างเดียวได่ไหม ? บางคนคงมีคำถามนี้ในใจ คำตอบก็คือ ได้แน่นอนครับ แต่หากเราต้องการในปริมาณที่บอก อาจต้องกินผัก ผลไม้ เยอะหน่อย (กะละมังนึง จะดูโหดไปไหม) ทำให้ปัจจุบันการกินวิตามินซีเสริมแบบเป็นเม็ดดูจะได้รับความนิยมมากกว่าครับ
#อย่างไรก็ตามอาหารหลักที่ครบถ้วนทุกหมู่และมีสัดส่วนเหมาะสม ควรจะมาก่อนอาหารเสริมต่าง ๆ ครับ เมื่อเรากินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดีสม่ำเสมอแล้ว การกินวิตามินเพื่อเสริม เพื่อป้องกันโรคหรือภาวะความเสื่อมของร่างกาย อย่างมีความรู้และมีสติ ย่อมทำให้เราเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เสื่อมง่าย ไม่ตายไว นั่นเองครับ
ที่มา : หมอหล่อคอเล่า