ถือเป็นเครื่องปรุงรสที่ขาดไม่ได้ในการปรุงอาหารไทย นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสมานานแล้วน้ำปลาคือผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวรสเค็ม ใช้สำหรับปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหาร เป็นผลผลิตที่ได้จากการหมักปลากับเกลือ ซึ่งเป็นกรรมวิธีการแปรรูปที่รู้จักกันโดยทั่วไปโดยเฉพาะในประเทศไทย โดยหากเปรียบเทียบความแตกต่างในด้านรสชาติของวัตถุดิบปลาที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำปลาแล้ว จะพบว่าน้ำปลาที่ได้จากปลากะตักถือเป็นน้ำปลาที่มีรสชาติหอมอร่อยมากที่สุด
นอกเหนือจากความสำคัญในด้านความอร่อยแล้ว น้ำปลายังมีประโยชน์ในด้านโภชนาการด้วย ในน้ำปลา 100 มิลลิลิตร ประกอบไปด้วยเกลือประมาณ 27-28 กรัม สารอินทรีย์ไนโตรเจน 0.6-2 กรัม และแอมโมเนียมไนโตรเจน 0.2-0.7กรัม จากการวิจัยพบว่าน้ำปลาเป็นแหล่งของเกลือแร่และกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไลซีน และยังมีวิตามินที่สำคัญคือ วิตามินบี 12 ซึ่งพบได้น้อยในอาหารชนิดอื่น
สำหรับผู้ที่ขาดแคลนอาหารจำพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ น้ำปลาคุณภาพดีจะช่วยเป็นแหล่งของสารอาหารได้ ถึงแม้อาจจะไม่สามารถทดแทนโปรตีนที่ร่างกายต้องการได้ทั้งหมดก็ตาม เพราะยังมีข้อจำกัดในการบริโภค โดยปริมาณที่รับประทานต่อวันไม่ควรเกิน15-30 ซีซี หรือราว 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือคิดเป็นปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้ประมาณ 7%
น้ำปลาแบ่งออกได้หลายหลายประเภท ได้แก่
น้ำปลาแท้ที่ได้จากกาวรหมักปลา น้ำปลาที่ทำมาจากสัตว์อื่นที่ไม่ใช่ปลา และน้ำปลาผสมที่มีการผสมปรุงแต่งรส อย่างไรก็ตามการเลือกรับประทานน้ำปลาที่มีคุณภาพดีถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยลักษณะของน้ำปลาที่ดีคือจะต้องมีกลิ่นและรสของน้ำปลา มีสีน้ำตาลอ่อนๆ มีความใส ไม่มีตะกอน มีรสหวานของน้ำปลาแต่ไม่ใช่รสหวานที่ติดลิ้นอันเนื่องมาจากสารให้ความหวานอื่นที่ไม่ใช่น้ำตาล ไม่มีเชื้อรา และไม่มีการตกผลึกของเกลือ
การตรวจสอบว่าน้ำปลาที่คุณบริโภคนั้นเป็นน้ำปลาแท้หรือไม่ ทำได้โดยการนำน้ำปลาไปหยดลงบนถ่านไฟที่กำลังคุ หากได้กลิ่นเหมือนปลาไหม้แสดงว่าเป็นน้ำปลาแท้ หรืออาจทดสอบด้วยการสังเกตสีก่อนและหลังการกรองด้วยกระดาษกรอง หากสีไม่มีการเปลี่ยนแปลงแสดงว่าเป็นน้ำปลาแท้
การรับประทานน้ำปลาในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายปรับความดันโลหิตได้ดี ช่วยเพิ่มความอยากรับประทานอาหาร และปรับระดับของเกลือแร่ในร่างกายให้สมดุลได้ ในทางกลับกัน หากรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดโรคไตหรือโรคหัวใจได้
Cr::สุขภาพน่ารู้.com