ระวัง! สารกันยูวีในครีมกันแดดส่งผลต่อสเปิร์ม

"ผลที่ออกมาค่อนข้างน่าเป็นห่วง และอาจจะสามารถอธิบายภาวะการมีบุตรยากบางแบบที่หาสาเหตุไม่ได้ได้" นพ. สคัคเคเบก เผย

แม้ว่าจุดประสงค์สารกันรังสีอัลตราไวโอเล็ตในครีมกันแดดจะมีไว้เพื่อลดปริมาณรังสีอัลตราไวโอเล็ตไม่ให้เข้าสู่ผิวหนังมากเกินโดยทำการดูดซับรังสีเอาไว้ แต่สารเคมีเหล่านี้ก็สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีรายงานว่าพบสารเคมีเหล่านี้ในตัวอย่างเลือดของมนุษย์ และพบใน 95 เปอร์เซ็นต์ของตัวอย่างปัสสาวะของคนอเมริกัน เดนมาร์ก และประเทศอื่นๆ

นพ. สคัคเคเบก และทีมงานได้ตรวจสารกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต 29 ชนิดจาก 31 ชนิดที่ขายในสหรัฐอเมริกาและยุโรป และเก็บตัวอย่างเซลล์สเปิร์มจากคนที่มาบริจาคอสุจิ เซลล์สเปิร์มเหล่านี้ถูกนำไปทดสอบในสารละลายที่จำลองมาเป็นสภาพของท่อนำไข่ของผู้หญิง

ในงานวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยต้องการจะศึกษาดู "การให้สัญญาณแคลเซียม" ซึ่งเป็นการให้สัญญาณภายในเซลล์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของแคลเซียมไอออน การเคลื่อนไหวของแคลเซียมไอออนภายในเซลล์สเปิร์มผ่านทางช่องแคลเซียมไอออนนั้นเป็นส่วนสำคัญของการทำหน้าที่ของเซลล์สเปิร์ม โดยมีช่องที่ชื่อ CatSper ที่เป็นช่องแคลเซียมไออนที่สำคัญต่อการสืบพันธุ์ของผู้ชาย ช่องไอออนตรงนี้เป็นจุดรับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนของผู้หญิง ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นตัวล่อเซลล์สเปร์มให้เคลื่อนไหวไปตามทางต่างๆ การจับคู่ระหว่างฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนกับช่อง CatSper จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าเข้าไปในเซลล์สเปิร์ม ก่อให้เกิดการทำงานของสเปิร์มหลายอย่างที่จำเป็นต่อการสืบพันธุ์

นักวิจัยพบว่า รังสีกันแดด 13 ชนิดจากทั้งหมด 29 ชนิด หรือคิดเป็น 45 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำให้เกิดการไหลเข้าของประจุไฟฟ้าเข้าไปในเซลล์ของสเปิร์มได้ ซึ่งก็หมายถึงว่า การทำงานของเซลล์สเปิร์มปกติจะถูกรบกวนได้นั่นเอง

ทั้งนี้ สารกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต 8 ชนิดจากทั้งหมด 13 ชนิด ที่พบว่าไปรบกวนการทำงานของเซลล์สเปิร์มได้รับการรับรองจากทางการสหรัฐอเมริกาไปแล้วก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น avobenzone, homosalate, meradimate, octisalate, octinoxate, octocrylene, oxybenzone และ padimate O สารเคมีเหล่านี้เป็นสารที่ใช้กันในครีมกันแดดทั่วไป รวมถึงเครื่องสำอางกันแดดและลิปบาล์มด้วย

ที่มา : vcharkarn.com