อาหารจับคู่ ดี หรือ ไม่ดี ต่อสุขภาพ มาฟังคำตอบกัน !!
กรณีเครือข่ายสังคมออนไลน์ แชร์ข้อมูลเตือนเกี่ยวกับอาหารต้องห้ามรับประทาน โดยมีการจับคู่อาหารบางชนิดที่ระบุหากบริโภคแล้วจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในหัวข้อ "ด่วน! คู่มรณะ ผลงานการวิจัยล่าสุดของ ศ. Mome Kaowa แห่งสถาบัน Manosatra พบว่า อาหารที่กินคู่กันแล้วเป็น ...อันตราย!" ซึ่งมีจำนวน 21 คู่ อาทิ กินทุเรียนกับน้ำอัดลม ให้พิษร้าย มากกว่าพิษงูเห่า! เต้าหู้กับน้ำผึ้ง ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้หูหนวก เป็นต้น นั้น
ล่าสุด ผศ.ชนิพรรณ บุตรยี่ อาจารย์ประจำหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นต่อกระแสเตือนในเรื่องดังกล่าวที่กำลังแพร่หลายอยู่ในโลกออนไลน์ว่า ปัจจุบันมีข้อมูลในลักษณะนี้จำนวนมาก ดังนั้น หากใครได้รับข้อมูลข่าวสารเรื่องแบบนี้ ต้องเช็กก่อนแชร์ และต้องตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของข้อมูลและผู้วิจัยว่า มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด หรือมีตัวตนจริงหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้จากการตรวจสอบไม่พบทั้งชื่อนักวิจัย และสถาบันที่อ้างอิง แม้แต่ชื่อใกล้เคียงก็ไม่มี และเมื่อพิจารณาถึงอาหารจับคู่แต่ละคู่ พบว่าอาหารบางอย่างไม่เหมาะกับการรับประทานคู่ ในกรณีสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ขณะที่อาหารจับคู่บางอย่างแทบไม่ส่งผลต่อสุขภาพอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ดังนี้
1.กินทุเรียนกับน้ำอัดลม ให้พิษร้าย มากกว่าพิษงูเห่า!
กรณีนี้เกินจริงมาก เพราะอาหารที่มีพิษร้ายที่เป็นจำพวก Toxin จะมีเป็นกลุ่มที่รู้จักกันอยู่แล้ว อย่างพวกแมงดาทะเลชนิดที่เรียกว่า "แมงดาถ้วย" แต่ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง รับประทานมากๆ ย่อมทำให้น้ำตาลขึ้นได้ รวมทั้งน้ำอัดลม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะทำให้น้ำตาลสูงขึ้น แต่ไม่ได้มีผลร้ายเป็นพิษเฉียบพลันจนทำให้เสียชีวิต2.เต้าหู้กับน้ำผึ้ง ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้หูหนวก
ทั้งนี้ อาหารไม่ได้เป็นสาเหตุให้หูหนวก แต่หูหนวกมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่หูชั้นใน หรือการรับยาต้านจุลชีพ แต่การติดเชื้อจากอาหารจะเป็นคนละช่องทาง จึงไม่ใช่อย่างที่แชร์3.น้ำเต้าหู้ ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน ต้องบอกว่าวิตามินที่ละลายน้ำ
วิตามินซี ยิ่งนำไปต้มด้วยแล้ว วิตามินซีก็ยิ่งสลาย แต่ประเด็นคือ ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการวิตามินจากน้ำเต้าหู้ ที่สำคัญน้ำเต้าหู้ให้โปรตีน ส่วนน้ำตาลแดงก็ให้ความหวาน5.หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้คอพอก
แต่ข้อเท็จจริงคอพอกเกิดจากขาดไอโอดีน หากรับประทานผักบางชนิดที่มีสาร Goitrogen เช่น กะหล่ำปลีดิบ สามารถขัดขวางการดูดซึมไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนน้อยลง ดังนั้น คนที่มีปัญหาไฮโปไทรอยด์ ห้ามรับประทานกะหล่ำปลีดิบหรือทำให้สุกก่อนรับประทานได้ แต่หัวไชเท้าไม่มีสาร Goitrogen รวมทั้งผลไม้ต่างๆ ด้วย ดังนั้น ที่ว่าห้ามรับประทานกับผลไม้ทุกชนิด ก็ไม่มีข้อมูลยืนยัน6.กล้วยกับเผือก ห้ามรับประทานด้วยกัน
จะทำให้ท้องอืด สำหรับกล้วยและเผือก จัดเป็นแหล่งของแป้ง ซึ่งหากกินมากๆ ก็มีโอกาสท้องอืดได้ แต่ก็ไม่มากเท่าเนื้อสัตว์ใหญ่7.บวบ ซือกวย ไชเท้า ห้ามรับประทานวันเดียวกัน
จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง กรณีนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน8.กล้วย มะละกอ แตงโม ห้ามรับประทานด้วยกัน
จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน สำหรับคนเป็นเบาหวานนั้น หากรับประทานแตงโมมากๆ ก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้มีผล เพราะไม่ได้เป็นผลไม้ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว9.มังคุดกับน้ำตาล รับประทานรวมกันจะทำให้เสียชีวิต
ข้อมูลนี้ไม่จริง เพราะไม่มีข้อมูลผลการศึกษาใดๆ ยืนยัน10.ผักปวยเล้ง ห้ามรับประทานกับเต้าหู้
จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง การจะเป็นนิ่วมักเป็นที่ถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในไต แต่ไม่พบที่ไขสันหลัง11.น้ำผึ้ง ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
ทั้งนี้ วิตามินละลายในน้ำจะสลายได้ด้วยความร้อน แต่น้ำผึ้งเป็นแหล่งของน้ำตาลจะมีน้ำตาลฟรุกโตสจากธรรมชาติ12.ส้มกับมะนาว ห้ามรับประทานด้วยกัน
จะทำให้กระเพาะทะลุ เรื่องนี้ก็ไม่จริง เพราะไม่ได้ทำให้มีกรดสูงขนาดนั้น ปกติสภาวะในกระเพาะก็เป็นกรดอยู่แล้ว แต่ยังทนได้13.ปลาทุกชนิดห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะปลาไม่ได้ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ผักกาดดอง หรือขิงดอง จัดอยู่ในหมวดหมู่ว่า ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะอาหารหมักดองมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะยังมีปัจจัยสำคัญ คือ ติดเชื้อ Helicobacter pylori และการมีภาวะโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรัง14.ขิงดอง ห้ามนำเข้าตู้เย็น รับประทานแล้วจะเป็นโรคมะเร็ง
ทั้งนี้ ขิงดองจัดเป็นของดองที่ไม่แนะนำให้รับประทานเป็นประจำ แต่การนำเข้าตู้เย็นไม่เกี่ยวข้องกัน15.น้ำข้าว ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
กรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะวิตามินมีหลายชนิด บางชนิดไม่ละลายในน้ำ หรือความร้อนเมื่อรู้แบบนี้กันแล้ว ทางที่ดีที่สุด คือ ควร "เช็ค" ก่อน "แชร์"
ที่มา - matichon
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!