การดูแลรักษาสุขภาพสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง


การดูแลรักษาสุขภาพสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง


การควบคุมน้ำหนักตัว
ผู้ป่วยโรคไตที่ไม่มีปัสสาวะแล้วควรควบคุมไม่ให้น้ำหนัก เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 กก./วัน (โดยจะต้องชั่งน้ำหนัก ในตอนเช้าที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารใด ๆ และหักลบกับน้ำหนักเมื่อวันก่อนในเวลาเดียวกัน) เพราะฉะนั้น ผู้ป่วยควรจะดื่มน้ำได้ไม่เกิน 800 ซีซี/วัน ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกาย ซึ่งจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ความดันโลหิตสูง และหัวใจโต ทำให้สุขภาพของผู้ป่วยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ มีอาการเหนื่อยง่ายคุณภาพ ชีวิตจะด้อยลง กรณีที่ผู้ป่วยยังมีปัสสาวะต่อวัน ควรตวงจำนวนปัสสาวะเป็นระยะ ๆ เพื่อประเมินจำนวน ปัสสาวะต่อวันซึ่งสามารถดื่มน้ำได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนปัสสาวะที่ตวงได้ต่อวัน

การควบคุมอาหาร
ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ได้รับการรักษาด้วยการฟอก เลือดด้วยเครื่องไตเทียมแล้วจะรับประทาน อาหารได้มากกว่าผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการฟอกเลือด แต่ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดแล้วนี้ยังมีความจำเป็นต้อง ควบคุมอาหารและน้ำตามชนิดของโรคไต, ปัสสาวะที่ออก, ขนาดของการฟอกเลือด และโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น เบาหวาน, หัวใจ เป็นต้น การควบคุมอาหารตลอดจนน้ำและเกลือแร่ให้ถูกต้องดังกล่าว จะทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับ การฟอกเลือดแล้ว มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
การใช้ยา

ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยา อาหารเสริม วิตามิน และสมุนไพรมารับประมานเอง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

ผู้ป่วย ญาติ และผู้ดูแลควรสอบถาม แพทย์และเภสัชกร ถึงระยะเวลาการรับประทานยา และขนาดยาที่ปรับเปลี่ยนในแต่ละครั้ง และควรยึดวิธีการรับประทานยาตามการใช้ยาครั้งใหม่ เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษา

การป้องกันการติดเชื้อ
เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีภูมิคุ้มกันโรค ที่อ่อนแอกว่าคนปกติ ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่าย ผู้ป่วยจึงควรระวัดระวังการติดเชื้อโดยปฏิบัติดังนี้

รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณมือและเท้า ไม่ควรที่จะแกะเกาให้ผิวหนังเป็นแผล จึงควรตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นและควรสระผม ให้สะอาดอยู่เสมอ

ทำความสะอาดแขนบริเวณที่ลงเข็มทุกครั้งที่มาทำการฟอกเลือด และรักษาแผลบริเวณที่ลงเข็มหลังจากการฟกเลือด สังเกตอาการอักเสบ ปวดบวมแดงร้อน ถ้าพบต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จะเกิดการติดเชื้อ ลุกลามเข้ากระแสเลือดได้

วัดอุณหภูมิร่างกายทุกครั้งก่อนเข้ารับการฟอกเลือด

เอกซเรย์ปอดปีละครั้ง เพื่อประเมินขนาดของหัวใจ ปอดและหาวัณโรคที่ซ่อนเร้น

พักผ่อน นอนหลับ ให้เพียงพอ

วิธีการออกกำลังกาย ควรได้รับการพิจารณาจากแพทย์

การสังเกตการผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นอยู่ที่บ้าน เช่น

ภาวะน้ำท่วมปอด เกิดจากมีน้ำส่วนเกินคั่งที่ปอด จะมีอาการเหนื่อยหอบ ไอ นอนราบไม่ได้ ถ้ามีอาการมาก ๆ จะไอจนถึงขั้นมีเสมหะฟองสีชมพู เหนื่อยหอบมากจนถึงขั้นทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยควรรีบติดต่อและเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

แขนขาชา และ/หรือ ไม่มีแรง อาจเกิดจากมีปริมาณของโปรแตสเซียมภายในกระแสเลือดสูง หรือต่ำเกินไป หรืออาจเป็นโรคระบบประสาทและสมอง เช่น เส้นโลหิตในสมองแตก ตีบ หรือ อุดตัน
อาการชักเกร็งถึงหมดสติ อาจเป็นโรคปัจจุบันของสมองหรือหัวใจ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล ที่ใกล้บ้านที่สุดทันที

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นลมง่าย เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำ
ผู้ป่วยมีความรู้สึกร่างกายแห้งจนเกินไป
การรับประทานยาความดันที่ไม่เหมะสม ขนาดยามากเกินความจำเป็น
เป็นโรคหัวใจผิดปกติ
อาการดังกล่าวนี้ ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่พยาบาลทราบก่อน เริ่มทำการฟอกเลือดครั้งต่อไป
ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจาง

เป็นตะคริวบ่อย ๆ เกิดจากมีความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่ภายในร่างกาย ถ้ามีอาการดังกล่าว ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่พยาบาลทราบก่อน เริ่มทำการฟอกเลือดครั้งต่อไป
อาการคันตามตัว เกิดได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ

มีปริมาณฟอสฟอรัสสะสมมากในร่างกาย สารตัวนี้จะไปรวมกับแคลเซียม และซึมอยู่ใต้ผิว หนัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันทั้งตัว ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีฟอสฟอรัสต่ำ เพื่อป้องกันการสะสมของสารดังกล่าวนี้ในร่างกาย

ผิวหนังผู้ป่วยมีภาวะ แห้ง จน เกินไป ทำให้เกิดอาการคันได้ง่าย ควรใช้โลชั่น เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง หลังการอาบน้ำทุกครั้ง

บวมตามตัว เกิดจากมีเกลือโซเดียมและน้ำส่วนเกินขังอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะเท้า จะเห็นได้ชัดเจนกว่าตำแหน่งอื่นๆ ลักษณะบวมที่เกิดขึ้นนี้จะสังเกตได้โดย การกดลงไปบริเวณที่บวมจะเกิดเป็นรอยบุ๋ม โดยไม่มีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย ผู้ป่วยควรจำกัดปริมาณเกลือที่รับประทานและจำกัดน้ำดื่มไม่ควรเกินวันละ 500 ซีซี

ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อยๆ ถ้ามีอาการท้องผูกสามารถแก้ไข โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าท้องผูกมาก ๆ ควรขอยาระบายจากแพทย์ได้เป็นครั้งคราว ส่วนอาการท้องเสียเกิดจากการทำงานของลำไส้ผิดปกติไป หรือมีความผิดปกติอื่นควรแจ้งให้แพทย์และพยาบาลทราบ เพื่อทำการฟอกเลือดให้เพียงพออาการท้องเสียจะหายไปเอง (อาการท้องเสียดังกล่าวต้องแยกจากภาวะติดเชื้อของทางเดินอาหาร)

นอนไม่หลับ เมื่อมีภาวะของเสียเพิ่มมากขึ้นในเลือดและในสมอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายตัว จึงมีผลทำให้นอนไม่หลับควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือขอยานอนหลับจากแพทย์ ตามความจำเป็น

ปวดกระดูก เกิดจากกระดูกผุเนื่องจากมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ และฟอสฟอรัสในเลือดสูง ถ้าได้รับการฟอกเลือดและควบคุมเรื่องอาหารได้ดี อาการกระดูกผุกร่อนก็จะลดน้อยลง

เครดิตแหล่งข้อมูล :vichaiyut



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์