
รู้ว่าเป็นภูมิแพ้...แต่ไม่รู้แพ้อะไร? มาตรวจหน่อยไหมจะได้ดูแลตัวเอง
หน้าแรกTeeNee รวมเรื่องสุขภาพดีๆ โรคภัยไข้เจ็บ รู้ว่าเป็นภูมิแพ้...แต่ไม่รู้แพ้อะไร? มาตรวจหน่อยไหมจะได้ดูแลตัวเอง

ภูมิแพ้เป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมากที่สุดและเป็นได้ทุกเพศทุกวัย เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไวต่อสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรา โดยปกติแล้วสารเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายกับคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จะไวต่อสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น เชื้อรา ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหาร ฯลฯ ซึ่งในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หลาย ๆ คนอาจยังไม่แน่ใจว่าตัวเองแพ้อะไรกันแน่ ทางการแพทย์จึงได้มีการทดสอบภูมิแพ้ที่ช่วยค้นหาสาเหตุของการแพ้ เพื่อให้คนไข้ดูแลตัวเองได้ง่ายขึ้น
เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ มักแสดงอาการเหล่านี้...
เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เช่น การสูดดม การสัมผัสกับผิวหนัง หรือการรับประทานอาหาร ซึ่งสาเหตุที่พบเป็นอันดับ 1 กว่า 70-80 % คือ แพ้ไรฝุ่น ทำให้คนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีอาการไอ จาม คัดจมูก น้ำมูก น้ำตาไหล คันรอบดวงตา ระคายเคืองทั่วใบหน้า มีผดผื่นคันแดงตามผิวหนัง ผิวหนังลอกอักเสบ หรืออาจแพ้รุนแรงถึงขั้นท้องร่วง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกหลังจากที่ได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย หากคนไข้รู้อยู่แล้วว่าตนเองแพ้อะไรก็จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายขึ้น
อยากรู้ว่า(ภูมิ)แพ้อะไร...รู้ได้ด้วยการตรวจวิธีนี้
สำหรับการทดสอบเพื่อให้คนไข้รู้ว่าตัวเองแพ้สารอะไร ไม่ว่าจะเป็นการแพ้อาหาร จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด และผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งนอกจากจะวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติและตรวจร่างกายแล้ว คนไข้ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วยการทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 วิธี คือ
1.การทดสอบภูมิแพ้ (Skin Prick Test) คือ การนำน้ำยาสกัดจากสารภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอากาศ เช่น ฝุ่น ตัวไรฝุ่น รังแคของสัตว์ แมลงสาบ เกสรดอกไม้ เชื้อรา ฯลฯ มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของคนไข้
2.การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE) คือ การเจาะเลือดหาค่าอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ชนิดที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Specific IgE) อย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารชนิดใดบ้าง...และแพ้ในระดับมากหรือน้อยแค่ไหน
ค้นหาสาเหตุอาการแพ้จากค่า IgE ...ดีกว่า Skin Prick Test ยังไง?
ความแตกต่างระหว่างการตรวจทั้ง 2 วิธี คือ
1.การเจาะเลือดหาค่า IgE เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังหรือมีปฏิกิริยาแพ้ทางผิวหนังง่าย โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ รวมถึงยังใช้เวลาในการทดสอบไม่นาน เพียงแค่เจาะเลือด 1 ครั้ง ก็สามารถหาสารก่อภูมิแพ้ได้หลายชนิด การทดสอบด้วยการเจาะเลือดจึงนับว่ามีความปลอดภัยกว่า และไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ทั่วร่างกาย แต่อาจรอผลตรวจหลายวัน
2.การทดสอบ Skin Prick Test จะทราบผลได้ภายใน 15-20 นาที โดยต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ แต่ผู้ทดสอบอาจมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแพ้อย่างรุนแรงจากสารก่อภูมิแพ้ระหว่างการทดสอบและสารทดสอบภูมิแพ้จะมีชนิดน้อยกว่าการเจาะเลือด
เครดิตแหล่งข้อมูล :phyathai.com
เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ มักแสดงอาการเหล่านี้...
เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เช่น การสูดดม การสัมผัสกับผิวหนัง หรือการรับประทานอาหาร ซึ่งสาเหตุที่พบเป็นอันดับ 1 กว่า 70-80 % คือ แพ้ไรฝุ่น ทำให้คนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีอาการไอ จาม คัดจมูก น้ำมูก น้ำตาไหล คันรอบดวงตา ระคายเคืองทั่วใบหน้า มีผดผื่นคันแดงตามผิวหนัง ผิวหนังลอกอักเสบ หรืออาจแพ้รุนแรงถึงขั้นท้องร่วง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกหลังจากที่ได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย หากคนไข้รู้อยู่แล้วว่าตนเองแพ้อะไรก็จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายขึ้น
อยากรู้ว่า(ภูมิ)แพ้อะไร...รู้ได้ด้วยการตรวจวิธีนี้
สำหรับการทดสอบเพื่อให้คนไข้รู้ว่าตัวเองแพ้สารอะไร ไม่ว่าจะเป็นการแพ้อาหาร จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด และผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งนอกจากจะวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติและตรวจร่างกายแล้ว คนไข้ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วยการทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 วิธี คือ
1.การทดสอบภูมิแพ้ (Skin Prick Test) คือ การนำน้ำยาสกัดจากสารภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอากาศ เช่น ฝุ่น ตัวไรฝุ่น รังแคของสัตว์ แมลงสาบ เกสรดอกไม้ เชื้อรา ฯลฯ มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของคนไข้
2.การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE) คือ การเจาะเลือดหาค่าอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ชนิดที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Specific IgE) อย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารชนิดใดบ้าง...และแพ้ในระดับมากหรือน้อยแค่ไหน
ค้นหาสาเหตุอาการแพ้จากค่า IgE ...ดีกว่า Skin Prick Test ยังไง?
ความแตกต่างระหว่างการตรวจทั้ง 2 วิธี คือ
1.การเจาะเลือดหาค่า IgE เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังหรือมีปฏิกิริยาแพ้ทางผิวหนังง่าย โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ รวมถึงยังใช้เวลาในการทดสอบไม่นาน เพียงแค่เจาะเลือด 1 ครั้ง ก็สามารถหาสารก่อภูมิแพ้ได้หลายชนิด การทดสอบด้วยการเจาะเลือดจึงนับว่ามีความปลอดภัยกว่า และไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ทั่วร่างกาย แต่อาจรอผลตรวจหลายวัน
2.การทดสอบ Skin Prick Test จะทราบผลได้ภายใน 15-20 นาที โดยต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ แต่ผู้ทดสอบอาจมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแพ้อย่างรุนแรงจากสารก่อภูมิแพ้ระหว่างการทดสอบและสารทดสอบภูมิแพ้จะมีชนิดน้อยกว่าการเจาะเลือด
เครดิตแหล่งข้อมูล :phyathai.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว