โรคไซนัสอักเสบมักจะเริ่มจากการติดเชื้อไวรัสเช่นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ จากนั้นเชื้อไวรัสจะทำให้น้ำมูกของคุณเหนียวข้นจนทำให้ระบบผิดปกติ ไม่นานนักเชื้อแบคทีเรียก็จะเจริญเติบโตในน้ำมูก ทำให้เชื้อไวรัสเปลี่ยนเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากเชื้อไวรัสในตอนแรกจะไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะแพทย์ส่วนใหญ่จึงต้องตรวจให้แน่ชัดว่าคุณติดเชื้อแบคทีเรียจริงหรือไม่ก่อนที่จะให้ยาไปรับประทาน แม้ว่าโรคไซนัสอักเสบจะมีอาการที่ค่อนข้างน่ารำคาญ แต่ข่าวดีคือเราสามารถรักษาได้อย่างง่ายดายโดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นโรคไซนัสอักเสบจริงหรือไม่?
นี่คืออาการที่ควรเฝ้าระวังของโรคไซนัสอักเสบ
1. เป็นไข้หวัดนานเกินกว่าหนึ่งสัปดาห์
โดยปกติโรคไซนัสอักเสบจะเริ่มต้นมาจากการเป็นไข้หวัดธรรมดาทั่วไปด้วยอาการคัดจมูก หรือบางทีอาจมีไข้ คันคอ และรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่สบายตัว หลังจากผ่านไป 3-5 วันอาการก็ควรเริ่มทุเลาลง ขณะเดียวกัน 5-7 วันคุณก็ควรรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าไม่ดีขึ้นเลยหรือแย่ลงอีกก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจติดเชื้อแบคทีเรียเข้าให้แล้ว
2. น้ำมูกเปลี่ยนสีแถมเยอะขึ้นอีกต่างหาก
อาการคัดจมูกอาจแย่ลงและมีน้ำมูกไหลมากขึ้น ที่สำคัญน้ำมูกเปลี่ยนสีด้วย
3. เสมหะไหลลงคอ
ยิ่งมีน้ำมูกมากก็ยิ่งมีโอกาสที่เสมหะจะไหลลงคอเนื่องจากมีน้ำมูกสะสมอยู่ด้านหลังโพรงไซนัส จากนั้นก็ไหลลงลำคอและทรวงอกไป
4. ไอแบบมีเสมหะ
โดยปกติอาการเสมหะไหลลงคอจะหมายถึงการมีน้ำมูกไหลลงไปในทรวงอกและอาการไอแบบมีเสมหะก็คืออาการปกติของโรคไซนัสอักเสบ (หากคุณรู้สึกแน่นหน้าอกและมีเสียงแปลกๆขณะที่หายใจก็มีแนวโน้มว่าคุณอาจจะเป็นโรคหลอดลมอักเสบ)
5. รู้สึกแน่นและเจ็บโพรงไซนัส
เมื่อเป็นหวัดคุณจะรู้สึกคัดจมูกและปวดศีรษะตื้อๆ ส่วนโรคไซนัสอักเสบจะทำให้ใบหน้าและโพรงไซนัสของคุณรู้สึกแน่นจนเจ็บและทำให้ปวดศีรษะ บางคนอาจรู้สึกปวดรุนแรงจนคิดว่าฟันของพวกเขาอักเสบ นอกจากนี้ยังมีอาการปวดด้านหลังเบ้าตาหรือระหว่างเบ้าตากันจมูกร่วมด้วย ขณะที่บางคนรู้สึกว่าบริเวณโพรงไซนัสมีอาการบวมและอาการปวดศีรษะก็มักจะยิ่งแย่ลงเมื่อคุณก้มหน้า