เครียดสะสม อาการแบบไหนบ่งชี้ ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี?
เช็คอาการเครียด พร้อมรู้แนวทางป้องกัน ก่อนเสียสุขภาพ
ปัจจุบันนี้ คนส่วนมากดำเนินชีวิตภายใต้ความกดดัน ทำให้เกิดอาการเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะ นำไปสู่ความเจ็บป่วยทางจิตเวช หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล เพื่อป้องกัน และลดความเสี่ยงจากการมีความเครียดสะสม มาตรวจสอบกันว่า เรามีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเกิดอาการเครียดสะสมหรือไม่ จากบทความนี้
เช็ค 7 สัญญาณของอาการเครียดไม่รู้ตัว
ความเครียด สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะในแต่ละวันทุกคนต้องใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดัน แต่เมื่อใดที่ความกดดัน และความตึงเครียดนั้นไม่สามารถถูกจัดการได้ จะกลายเป็น ความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ให้สงสัยว่าตนเองอาจมีความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รูปแบบการนอนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น นอนไม่หลับ นอนไม่อิ่มหลับไม่สนิท ตื่นเร็วเกินไป หรือ ตื่นกลางดึก และหลับต่อได้ยาก
อารมณ์เปลี่ยนไป เช่น นิ่งเงียบ ไม่พูด เบื่อหน่ายชีวิต รู้สึกกังวล หรือหงุดหงิดง่าย รวมไปถึงอารมณ์ทางเพศลดลง
ร่ายกายผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก หายใจถี่ ๆ หัวใจเต็นเร็ว เหงื่อออกมากผิดปกติ ปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายแปรปรวนโดยที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้
แยกตัวออกจากสังคม ไม่อยากพบปะผู้อื่น หรือเกิดความอึดอัดเป็นอย่างมาก เมื่อต้องพบปะผู้อื่นมากเกินกว่าที่เคยเป็น
ความสามารถในการตัดสินใจ การทำงานลดลง ไม่มีสมาธิ ทำงานช้า
มีความคิดวนเวียนว่าอยากจบชีวิตตนเอง จนกลัวว่าอาจไม่สามารถควบคุมได้
สำหรับในคนที่ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อยู่แล้ว อาจพบว่าตนเองดื่มและสูบมากขึ้น
รู้หรือไม่ว่า : ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เผยว่า อัตราการฆ่าตัวตายในปี 2563 สูงขึ้นจนต้องเฝ้าระวัง ซึ่ง พบว่าสาเหตุสำคัญหนึ่งของการฆ่าตัวตาย คือ ความเครียดสะสมเรื่องภาวะปากท้องและเศรษฐกิจ
โดย 1 ใน 3 ของผู้ที่สูญเสียจากการแพร่ระบาดของโควิดนั้น มาจากการฆ่าตัวตายเพราะเครียด จากพิษเศรษฐกิจ
เมื่อมีความ "เครียด" ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?
หากิจกรรมที่ทำให้ตนเองผ่อนคลาย ค้นหาสิ่งที่ชอบ และสบายใจ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง วาดภาพ ออกกำลังกาย หรือการสูดกลิ่นน้ำมันหอมระเหย พาตนเองออกมาจากเรื่องเครียดสักระยะ
ปรับความคิด พยายามมองโลกในแง่บวก ไม่จมอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากจนเกินไป วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น ๆ
ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเท่าที่สามารถทำได้ อาจเป็นการปรับเปลี่ยนการตกแต่งที่อยู่อาศัย เช่น จัดบ้าน จัดโต๊ะทำงาน รวมถึงการออกไปผ่อนคลายตามสถานที่ต่าง ๆ
จัดสรรเวลาการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้สมดุล (work life balance) โดยจัดสรรเวลาสำหรับการทำงาน และใช้ชีวิตส่วนตัวเพื่อสิ่งที่เป็นคุณค่าของตนเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ในกรณีที่การจัดการด้วย 4 วิธีนี้แล้ว ไม่สามารถช่วยให้คุณจัดการกับความเครียดได้ รวมถึงความเครียดเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ กระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงานและคนรอบข้าง การปรึกษาจิตแพทย์เพื่อร่วมกันหาทางจัดการความเครียดที่เกิดขึ้นให้เหมาะสมกับตนเอง อาจเป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะสม
บางครั้งความเครียดที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถรักษาให้หายได้ หากปัจจัยทางด้านจิตใจที่ส่งเสริมให้เกิดความเครียดขึ้นไม่ได้รับการดูแลรักษา เช่น กระบวนความคิด โรคจิตเวชอื่น ๆ ที่เกิดร่วม ลักษณะบุคลิกภาพส่วนบุคคล การรักษาและปรับเปลี่ยนปัจจัยเหล่านี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ จะช่วยให้ความเครียดนั้นดีขึ้นได้
การรักษาด้วยยา : เช่น การใช้ยาที่ลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า ยาที่ช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ รวมไปถึงยารักษาตามอาการที่คนไข้กำลังเผชิญ เช่น ยารักษาความแปรปรวนในทางเดินอาหาร ยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
การรักษาแบบไม่ใช้ยา: เช่น การพูดคุย ปรึกษา หรือทำจิตบำบัด รวมถึงการรักษาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า
ภาวะเครียดสะสม เครียดไม่รู้ตัว สามารถส่งผลต่อร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม หากพบว่าตนเองอาจมีภาวะเครียดสะสมที่ไม่สามารถจัดการได้ ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรับการประเมิน และการดูแลรักษา ให้เหมาะสมกับสาเหตุและปัญหาของแต่ละบุคคล