สมองคิดได้ช้าลงตั้งแต่ยังไม่แก่ หากเป็นเบาหวาน-ความดันโลหิตสูง
หน้าแรกTeeNee รวมเรื่องสุขภาพดีๆ โรคเบาหวาน สมองคิดได้ช้าลงตั้งแต่ยังไม่แก่ หากเป็นเบาหวาน-ความดันโลหิตสูง
สมองคิดได้ช้าลงตั้งแต่ยังไม่แก่ หากเป็นเบาหวาน-ความดันโลหิตสูง - BBCไทย
ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่สอง (type 2 diabetes) และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง นอกจากจะได้รับผลเสียต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ประสิทธิภาพการทำงานของสมองและการใช้ความคิดยังเสื่อมถอยลงไปด้วย โดยล่าสุดนักประสาทวิทยาพบว่าคนกลุ่มนี้คิดวิเคราะห์และจดจำได้ช้าลง แม้จะยังอยู่ในวัยกลางคนตอนต้นก็ตาม
รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications ระบุว่า มีการวิเคราะห์ผลสแกน MRI จากสมองของกลุ่มตัวอย่าง 22,000 ราย ที่มีอายุระหว่าง 40-70 ปี ซึ่งผลสแกนนี้ได้จากคลังข้อมูลชีวภาพ UK Biobank
ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีเชื่อมต่อระหว่างเนื้อสมองสีขาวไปอย่างมาก แม้จะยังอยู่ในวัยเพียงสี่สิบกว่าปีเท่านั้น โดยดร. มิเชล เวลด์สแมน ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักรบอกว่า
"ปริมาตรของเนื้อสมองส่วนหน้าและส่วนข้างที่ทำงานเป็นเครือข่ายเดียวกันลดลง และวิถีเชื่อมต่อของเนื้อสีขาวไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เนื่องความดันโลหิตสูงทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองผิดปกติ"
"ยิ่งความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่ ความรวดเร็วคล่องแคล่วในการใช้สมองคิดและความทรงจำก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น" ดร. เวลด์สแมนกล่าว
ทีมผู้วิจัยพบผลกระทบทางสมองแบบเดียวกันในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่สองด้วย แม้จะมีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 5% ในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาก็ตาม
แม้ความเสื่อมถอยของสมองและการใช้ความคิดในกรณีนี้ จะสังเกตเห็นได้ยากสักหน่อยในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างซับซ้อนที่เกิดขึ้นในระดับลึกมาก แต่ทีมผู้วิจัยย้ำว่า ผลการศึกษาได้ชี้ถึงความสำคัญของการใส่ใจควบคุมระดับความดันโลหิตเสียแต่เนิ่น ๆ
"ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นทุกมิลลิเมตรปรอท มีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อความรุนแรงของโรคสมองเสื่อมที่จะเกิดตามมาเมื่อแก่ตัวลง เพราะแม้จะอยู่ในวัยกลางคนก็เริ่มเห็นความเสียหายได้บ้างแล้ว" ดร. เวลด์สแมนกล่าว
ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่สอง (type 2 diabetes) และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง นอกจากจะได้รับผลเสียต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ประสิทธิภาพการทำงานของสมองและการใช้ความคิดยังเสื่อมถอยลงไปด้วย โดยล่าสุดนักประสาทวิทยาพบว่าคนกลุ่มนี้คิดวิเคราะห์และจดจำได้ช้าลง แม้จะยังอยู่ในวัยกลางคนตอนต้นก็ตาม
รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications ระบุว่า มีการวิเคราะห์ผลสแกน MRI จากสมองของกลุ่มตัวอย่าง 22,000 ราย ที่มีอายุระหว่าง 40-70 ปี ซึ่งผลสแกนนี้ได้จากคลังข้อมูลชีวภาพ UK Biobank
จากนั้นทีมผู้วิจัยได้พิจารณาผลสแกนสมอง โดยดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงของ pathway หรือวิถีการเชื่อมต่อของเนื้อสีขาว (white matter)ในสมองส่วนต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ทั้งเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้กับข้อมูลสุขภาพ และความสามารถในการคิดของกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนด้วย
ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีเชื่อมต่อระหว่างเนื้อสมองสีขาวไปอย่างมาก แม้จะยังอยู่ในวัยเพียงสี่สิบกว่าปีเท่านั้น โดยดร. มิเชล เวลด์สแมน ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักรบอกว่า
"ปริมาตรของเนื้อสมองส่วนหน้าและส่วนข้างที่ทำงานเป็นเครือข่ายเดียวกันลดลง และวิถีเชื่อมต่อของเนื้อสีขาวไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เนื่องความดันโลหิตสูงทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองผิดปกติ"
"ยิ่งความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่ ความรวดเร็วคล่องแคล่วในการใช้สมองคิดและความทรงจำก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น" ดร. เวลด์สแมนกล่าว
ทีมผู้วิจัยพบผลกระทบทางสมองแบบเดียวกันในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่สองด้วย แม้จะมีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 5% ในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาก็ตาม
แม้ความเสื่อมถอยของสมองและการใช้ความคิดในกรณีนี้ จะสังเกตเห็นได้ยากสักหน่อยในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างซับซ้อนที่เกิดขึ้นในระดับลึกมาก แต่ทีมผู้วิจัยย้ำว่า ผลการศึกษาได้ชี้ถึงความสำคัญของการใส่ใจควบคุมระดับความดันโลหิตเสียแต่เนิ่น ๆ
"ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นทุกมิลลิเมตรปรอท มีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อความรุนแรงของโรคสมองเสื่อมที่จะเกิดตามมาเมื่อแก่ตัวลง เพราะแม้จะอยู่ในวัยกลางคนก็เริ่มเห็นความเสียหายได้บ้างแล้ว" ดร. เวลด์สแมนกล่าว