ระวัง!! โรคติดแป้ง ทำให้แก่เร็ว (คลิป)
เชิญรับชมคลิปวิดีโอ
vvvv
vvv
vv
v
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ซึ่งไม่กิน “ข้าว” กินแต่ “กับข้าว” มาเป็นเวลากว่า 5 ปี แล้ว บอกว่า เหตุผลส่วนตัวที่ไม่กินข้าว หรือ ละเว้นอาหารประเภทแป้ง เพราะ แป้ง และน้ำตาล เป็น ศัตรูของความแก่ ความชรา ดังนั้นหากต้องการให้ร่างกายแก่ช้าลง ไม่เสื่อมโทรมเร็ว จะต้องเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
ทั้งนี้เป็นเพราะการกินแป้งมากเกินไปจะทำให้ปริมาณอินซูลินสูงขึ้น ซึ่งอินสุลินมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้ร่างกายแก่และโทรมเร็ว อินซูลินยังไปทำให้แป้งเปลี่ยนเป็นไขมันทำให้มีไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง
วิธีสังเกตว่า เป็นโรคติดแป้งหรือไม่ คือ กินข้าวอิ่มแล้วยังหิวอีก จะต้องหาอะไรกินอีกหลังอาหาร กินแล้วอยากกินอยู่เรื่อย ๆ เพราะมันไม่พอ ไม่อิ่ม หลังกินข้าวต้องกินของหวานล้างปาก แต่ถ้ากินข้าวแล้วไม่อยากกินอาหารอย่างอื่นต่ออีกก็ถือว่า ไม่เป็นโรคติดแป้ง
ข้อเสียของแป้ง โดยเฉพาะ “แป้งขัดขาว” ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ คือ เวลาที่เรากินแป้งขัดขาวเข้าไป มันจะเปลี่ยนน้ำตาลภายใน 3 นาที และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว น้ำตาลเหล่านี้จะชอบโปรตีนมาก มันจะไปจับโปรตีนและทำลายโปรตีนตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ร่างกายแก่ตั้งแต่หัวจรดเท้านั่นเอง อาการแก่ในตอนแรกอาจจะยังไม่เห็นชัดเจน แต่อาการจะเหมือนกับเวลาที่เรากินของหวาน ร่างกายจะสดชื่นในช่วงแรก แต่หลังจาก 30 นาทีผ่านไป ร่างกายจะรู้สึกโหย มีอารมณ์หงุดหงิด เหนื่อย ไม่สดชื่น หัวตื้อ ๆ สมองไม่ปลอดโปร่ง ไม่กระปรี้กระเปร่า คิดเลขช้าลง
อาการโหยที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแป้งซึ่งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วเข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นฮอร์โมนอินสุลินให้พุ่งกระฉูดขึ้น ซึ่งอินสุลินนี้ทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อสูงเกินไปก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมามากจนรู้สึกโหย
แต่เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยสำคัญของคนไทยเรา จนมีคำว่า "ข้าวปลาอาหาร" จึงขอให้หลักสำคัญในการเลี่ยง "แป้งขัดขาว" เช่น ข้าวเจ้า ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว ทุกท่านไม่จำเป็นต้องเลิกกินข้าว แต่ขอให้ลดปริมาณลง ขณะเดียวกันควรค่อย ๆ เพิ่มเป็นแป้งเชิงซ้อนขึ้น เช่น เดิมเคยกินข้าวเจ้า 3 มื้อ ขอให้ใช้แป้งเชิงซ้อน เช่น ข้าวมันปู หรือข้าวซ้อมมือ หุงเพิ่มเข้าไปด้วยกัน แต่ไม่ใช่แยกกินนะครับ ไม่ใช่ข้าวเจ้า 2 มื้อ แล้วข้าวกล้องอีกมื้อหนึ่ง เพราะการกินรวมกันจะดีกว่าตรงที่ว่า แป้งเชิงซ้อน เช่น ข้าวซ้อมมือนี้จะมี "กาก" หรือ "เส้นใย" ที่เหมือนกับฟองน้ำช่วยดูดซับไม่ให้น้ำตาลจากข้าวเจ้าดูดซึมเข้าเลือดเร็วเกินไป จนทำให้เรามีอาการติดแป้ง
นอกจากข้าวมันปูและข้าวซ้อมมือแล้ว “แป้งเชิงซ้อน” ยังมีใน ลูกเดือย ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต นอกจากนี้ยังพบในผักและผลไม้ เช่น หอมหัวใหญ่ ผักคะน้า ฟักทอง กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ขนุน แก้วมังกร ส้มโอ ฝรั่ง เป็นต้น ซึ่งแป้งเชิงซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที กว่าจะสลายเป็นน้ำตาลเข้ากระแสเลือดต่างจากแป้งขัดขาวที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลเร็วมาก
หากจะไม่กินแป้งเลย สูตรของ นพ.กฤษดา คือ ลดข้าวแต่ละมื้อลงก่อนในช่วงแรก แล้วหนักที่กับข้าว โดยมากจะเป็นผักที่มีแป้งเชิงซ้อน เช่น ผัดหอมใหญ่ คะน้า ฟักทอง กล้วย ในช่วง 2 สัปดาห์แรกจะรู้สึกหิวมาก เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ก็ต้องกินกับข้าวให้มากเพื่อให้หนักท้อง แต่ผ่านพ้น 2 สัปดาห์ไปแล้ว ประมาณ 1 เดือน จะเริ่มอดข้าวหรือแป้งได้ ร่างกายจะอยู่ตัว ไม่โหย ทั้งนี้ต้องค่อย ๆ ลดแป้งลง อย่าหักดิบ เพราะการหักดิบแล้วกลับมากินอีกจะยิ่งทำให้กินแบบอุตลุดจนเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์จนอ้วนมากขึ้น
นพ.กฤษดา แนะนำว่า การไม่กินแป้งเลย ต้องดูความเหมาะสมด้วย เช่น ในเด็ก กำลังเจริญเติบโต จะต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้นก็ไม่ต้องตัดอาหารประเภทแป้งทิ้งไป แต่ควรฝึกให้เด็กกินแป้งเชิงซ้อนมากขึ้น ในขณะที่ผู้สูงอายุควรเน้นกินแป้งเชิงซ้อนมากขึ้น อย่าเน้นอาหารโปรตีน เพราะโปรตีนจะยิ่งทำให้ไตไม่ดี ถ้าอยากลดไขมันให้กินข้าวโอ๊ตวันละ 1 ถ้วยตวง กินสักประมาณ 2 เดือน ไขมันกับน้ำตาลจะลดลงอย่างแน่นอน
ที่มา the-than
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!