สำหรับอาการของโรคภูมิแพ้นั้นจะแตกต่างกันไป แต่ที่พบมากอย่างโรคภูมิแพ้อากาศจะมีอาการจาม คันจมูก คัดจมูก คันเพดานปาก หรือคอ น้ำมูกไหล ขณะที่ภูมิแพ้บริเวณหลอดลมจะมีอาการไอ แน่นหน้าอก หอบ หายใจขัด หรือหายใจเร็ว ส่วนบริเวณผิวหนังจะทำให้มีอาการคัน มีผดผื่นตามตัว ทั้งนี้โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่ไม่หายขาดและมีความแปรปรวนสูง บางครั้งอาการอาจจะหายเกือบสนิท แต่ถ้าไม่ดูแลสุขภาพหรือมีสิ่งมากระทบ อาการแพ้ก็อาจจะกลับมาใหม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ นอนกรน ผิวหนังติดเชื้อ เป็นต้น
นอกเหนือจากปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ เช่น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย ควันไฟ และฝุ่นละอองจากแหล่งต่างๆ แล้ว สภาพแวดล้อมภายในบ้านถือเป็นสถานที่
เสี่ยงที่หลายคนมองข้ามไป เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้แทรกตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของบ้านที่เราอาจจะคาดไม่ถึงและกำจัดได้ยาก อาทิ ไวรัสและแบคทีเรีย เกิดจากความชื้นหรืออับทึบในพื้นที่ภายในบ้านที่แสงแดดส่องไม่ถึง รวมถึงที่สะสมอยู่ตามอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ ขนสัตว์
โดยเฉพาะในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงจะทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจได้ ละอองเกสร จากการนำต้นไม้ ดอกไม้สด ดอกไม้แห้งไว้ในบ้าน หรือละอองเกสรจากนอกบ้านปลิวเข้ามา หรือติดตามร่างกาย สุดท้ายคือ ไรฝุ่น โดยเฉพาะบนที่นอน เก้าอี้ โซฟา หรือเครื่องเรือนที่บุด้วยผ้า นุ่น หรือขนสัตว์ จะมีไรฝุ่นสะสมอยู่ภายในจำนวนมาก
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย แนะนำวิธีง่ายๆ ในการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อดูแลตัวเองให้ห่างจากโรคภูมิแพ้ง่ายๆ ด้วยการจัดระเบียบห้องนอนให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและรับแสงสว่างจากธรรมชาติ ในส่วนของตัวบ้านต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก