เคล็ดลับ!! ชะลอวัยให้แก่ช้า
ภาวะเสื่อมถอยของร่างกายหรือ “ความชรา” ย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนไม่พึงปรารถนา และแม้จะรู้ว่าสังขารย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่กระนั้นภาวะแก่ก่อนวัยก็กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หนุ่มสาวรุ่นใหม่กำลังเผชิญ
แม้ตามหลักทฤษฎีจะระบุไว้ว่า มนุษย์สามารถมีอายุยืนยาวได้ถึง 120-140 ปี ทว่าด้วยวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียด ความเร่งรีบ ทั้งยังต้องประสบกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อาหารเต็มไปด้วยสารเคมี ไหนจะโรคภัยที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งหมดทำให้มนุษย์ในยุคดิจิทัล ต้องพบกับภาวะชราหรือความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควร จนต้องหันไปพึ่งการฉีดโบท็อกซ์ ยิงเลเซอร์ หรือทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า ทั้งที่ความจริงความอ่อนเยาว์สามารถสร้างได้ด้วยตัวเรา และต่อไปนี้คือความลับแห่งศาสตร์การชะลอวัยที่ขอบอกต่อ
ประเภทของความแก่
ในเมื่อมนุษย์ไม่ได้แก่ในอัตราความเร็วที่เท่ากัน นักวิทยาศาสตร์จึงได้แบ่งความแก่ไว้ 3 ประเภทดังนี้
1. ความแก่ตามอายุปฏิทิน เป็นความแก่ที่วัดตามการหมุนของแกนโลก ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นการวัดความร่วงโรยของร่างกายตามอายุขัย นับตั้งแต่วินาทีแรกที่มนุษย์ลืมตาดูโลก
2. ความแก่ตามอายุทางชีววิทยา เป็นการวัดค่าความแก่ด้วยการนำความเสื่อมถอยของร่างกายเป็นตัวตั้ง โดยเครื่องมือที่ใช้วัดว่าคุณแก่หรืออ่อนเยาว์ ได้แก่ ความดันโลหิต ปริมาณไขมันในร่างกาย ความสามารถในการได้ยินและมองเห็น ระดับฮอร์โมน ความหนาแน่นของมวลกระดูก และระดับคอเลสเตอรอล เป็นต้น นั่นหมายความว่า คนอายุ 50 ปีที่ดูแลตัวเองดี อาจมีอายุทางชีวภาพเทียบเท่ากับคนอายุ 35ปีที่ไม่ใส่ใจสุขภาพก็เป็นได้
3. ความแก่ตามอายุทางจิตวิทยา หมายถึง ความรู้สึกของแต่ละคนที่คิดว่าตัวเองแก่เพียงไร มีคนอายุ 60 หลายคนที่มีสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตแจ่มใสสุนกกับชีวิตได้ทุกขณะ ดังนั้น แม้อายุตามปฏิทินจะย่างเข้าสู่วัย 60 ปี ทว่าเมื่อใจรูสึกกระฉับกระเฉง อวัยวะในร่างกายก็จะทำงานได้เป็นปกติ ท้ายสุดก็ย่อมจะเกิดความอ่อนเยาว์ตามมา
เช็กสัญญาณความชรา
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น อาการความเสื่อมของร่างกายจะเริ่มปรากฏให้เห็นตามปกติแล้วผู้ชายเริ่มมีอาการเสื่อมของร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่อายุ 35 ปี ส่วนผู้หญิงจะช้ากว่าคือ 40 ปี ทว่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความเข้าใจที่ว่าผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชาย แต่ในยุคปัจจุบันกลับพบว่ามีวัยรุ่นวัยทำงานเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ถึงวัยดังกล่าว ทว่าอาการเสื่อมของอวัยวะหรือความชรากลับถามหาเสียแล้ว และต่อไปนี้คือสัญญาณความเสื่อมของร่างกายที่เตือนว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่ความชรา
อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น แม้จะนอนเต็มอิ่ม
ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น
นอนหลับยาก กระสับกระส่าย ตื่นกลางดึกบ่อยๆ
ปวดหัว ปวดหลัง ปวดตามข้อบ่อยขึ้น
น้ำหนักขึ้นง่ายแม้จะกินเท่าเดิม ต้องออกกำลังกายเท่านั้น
สมาธิสั้น ลืมง่าย ตัดสินใจช้าลง
หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย วิตกกังวลมากขึ้น
ผมแห้ง ผมบาง ผมร่วง
ผิวแห้ง ดูไม่สดใส
ความทนทานต่อสถานการณ์กดดันต่างๆ น้อยลง
เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคต้อกระจก โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคข้อเสื่อม
หากตรวจพบว่าร่างกายมีสัญญาณบ่งบอกความชรามากกว่า 3 ข้อ นั่นแสดงว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอย และก่อนที่ความหนุ่มความสาวจะหายไปแบบกู่ไม่กลับ
มีกฎเหล็ก 8 ข้อ เพื่อชะลอวัยมาฝาก
1. เปลี่ยนความคิดพิชิตความแก่ ยาขนานเอกในการชะลอวัย ได้แก่ การปรับทัศนคติเสียใหม่ หยุดคิดเสียทีว่า เมื่ออายุมากขึ้นแล้วจะต้องเป็นภาระให้คนอื่น อายุมากขึ้นแล้วร่างกายจะต้องอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง อย่าลืมว่า ร่างกายจะเป็นไปตามที่จิตใจสั่ง หากคุณคิดว่าคุณแก่ แน่นอนว่าความรู้สึกหดหู่จะตามมา เรี่ยวแรงก็พลอยหมดไป ตรงกันข้าม หากเชื่อว่าเราสามารถมีความสุขได้ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ความเชื่อนั้นแหละที่จะเป็นตัวกระตุ้นอันทรงพลังให้กายและใจอ่อนวัยลง
2. เลิกซะ ! เหล้า บุหรี่ ทราบหรือไม่ว่าบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คือศัตรูสำคัญที่พรากความเยาว์วัยจากร่างกายของเราไป บุหรี่นอกจากจะเป็นสาเหตุโรคถุงลมโป่งพองแล้ว การสูบบุหรี่ 1 มวน ยังหมายถึงการทำลายชีวิตไป 11 นาที หากสูบ 1 ซองย่อมทำลายชีวิตไป 3 ชั่วโมง 40 นาที ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นแน่นอนว่ากระทบต่อการทำงานของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการขับสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ยิ่งในปัจจุบัน อาหารการกินมีสารพิษปะปนอยู่มากมายพอแล้ว เราจะเพิ่มภาระให้ตับต้องทำงานหนักและเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรอีกทำไม
3. เอกเซอร์ไซส์สมองวันละนิด ภาวะชรานอกจาจะดูที่ความเสื่อมของร่างกายแล้ว สมองก็เป็นส่วนสำคัญที่บ่งบอกได้ว่าถึงวัยชราแล้วหรือยัง ดังหลักฐานที่สถาบัน The National Institute on Aging ได้ทำการวิจัยพบว่า หากคนวัย 65 ปี ได้ฝึกบริหารสมองสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ติดต่อกัน 5 สัปดาห์ จะช่วยสร้างเสริมสมาธิทำให้ความทรงจำดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงและอ่อนเยาว์กว่าตัวเลขอายุในบัตรประชาชนเสียอีก
เทคนิคบริหารสมอง
เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซาก เช่น เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน เปลี่ยนมาแปรงฟันด้วยมือซ้าย การทำสิ่งที่แปลกใหม่จะช่วยกระตุ้นให้สมองได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
ลองเล่นเกมที่เคยเล่นเป็นประจำในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ หมากรุก สแครบเบิล หรือแม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ เกมเหล่านี้จะช่วยลับสมองให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ใครว่าคนแก่ต้องอยู่บ้านเสมอไป ความจริงแล้วการเข้าสังคม การได้สังสรรค์ พูดคุยกับเพื่อนฝูงเป็นประจำเป็นอีกวิธีที่ช่วยบริหารสมองให้แจ่มใส และฟื้นฟูความจำให้เป็นอย่างดี
4. กินอาหารสร้างความอ่อนเยาว์ กินอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น ความเยาว์วัยหรือความชราขึ้นอยู่กับอาหารเช่นกัน อาหารบางประเภทช่วยเสริมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่อาหารบางอย่างทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักมากขึ้น
หากอายุขึ้นเลข 3 ควรลดปริมาณอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตแป้งและน้ำตาลเพราะร่างกายย่อยยาก อีกทั้งยังสะสมจนทำให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน โรคอ้วน และโรคหลอดเลือดอุดตัน หากจะกินแป้ง ให้เลือกประเภทผสมเส้นใยหรือธัญพืช
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ช่วยบำรุงการทำงานของสมองและระบบประสาท ทั้งยังมีสารแอนติออกซิแดนต์ ป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี
อาหารปิ้ง-ทอดเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันเหล่านี้มีผลทำให้เส้นเลือดอุดตัน เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
ผักใบเขียวช่วยเพิ่มแคลเซียมและช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับกระดูก จึงเหมาะกับผู้สูงวัย
5. ออกกำลังกายตามกำลังที่มี การออกกำลังกายไม่ว่าจะหนักหรือเบา คือยาอายุวัฒนะที่สำคัญที่สุดในการย้อนวัย ดังงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้คนหนุ่มสุขภาพแข็งแรงนอนอยู่กับเตียงเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ผลปรากฏว่า สมรรถภาพของระบบหลอดเลือดหัวใจเสื่อมลงเทียบเท่ากับการแก่ตัวลง 20 ปีเลยทีเดียว จำไว้ว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่า ความตายจะมาเยือนเมื่อไร ถ้ายังมีแรงก็จงออกแรง มีแรงเดินก็จงเดิน มีแรงวิ่งก็จงวิ่ง มีแรงกวาดบ้านก็จงกวาดตามกำลังที่มี ก่อนที่ร่างกายจะไม่มีแรงทำสิ่งใด
ออกกำลังกายแบบไหนดี
แอโรบิกเอกเซอร์ไซส์ ลองเต้นแอโรบิก วิ่งจ๊อกกิ้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น เพื่อช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง ทั้งยังเสริมสร้างความกระปรี้กระเปร่าอีกด้วย
ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ เช่นยกน้ำหนัก ยกดัมบ์เบล ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและลดอาการปวดหลัง
ฝึกความยืดหยุ่นของร่างกาย การออกกำลังกายประเภทโยคะ ไทชิ และชี่กง ช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นข้อต่อต่างๆทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเรื่องการทรงตัว
6. เปลี่ยนนิสัยการนอนเสียใหม่ ใครที่รู้สึกว่าแม้จะนอนวันละ 8 ชั่วโมง ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ร่ำไป ขอแนะนำให้ปรับนิสัยการนอนเสียใหม่ จากเดิมที่เคยนอนหลังเที่ยงคืนไปถึงเที่ยงวัน ให้เปลี่ยนมาเป็นดับไฟนอนตั้งแต่ สี่ทุ่มแล้วตื่นตอนหกโมงเช้า ทั้งนี้การนอนหลับสนิทก่อนเวลาเที่ยงคืนจะทำให้การหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานเป็นปกติตามไปด้วยและเมื่อระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ ก็ย่อมทำให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงกลับคืนมา ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใด
7. อย่าลืมตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อกินอาหารที่เป็นประโยชน์ นอนหลับสนิท และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว อีกสิ่งที่จะลืมไม่ได้คือ การตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพร่างกายขณะนั้นเป็นอย่างไร ต้องเสริมสร้างปรับปรุง หรือซ่อมแซมในส่วนใดบ้าง ก่อนที่จะสายเกินไป
8. สร้างความหนุ่ม-สาวจากภายใน ยาขนานสุดท้ายที่จะช่วยให้เกิดความอ่อนวัยได้ แม้อายุจะย่างเข้าปีที่ร้อย คือการขจัดพิษภายใน อันหมายถึง ความวุ่นวายทางอารมณ์ความเครียด ความทุกข์ใจ ทั้งนี้เพราะสารพิษทางอารมณ์เป็นตัวการสำคัญในการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่ชราและโรคร้ายต่างๆหากเราสามารถใช้สติ สมาธิ และธรรมะมาสร้างความสุขให้เกิดภายในจิตใจได้ เมื่อนั้นความหนุ่ม-สาวภายในก็กลับมา และแม้ผิวหนังจะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ความอ่อนเยาว์ที่เกิดจากความสุขภายในใจก็จะสามารถฉายออกมาผ่านแววตาได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
ที่มา : kanlayanatam.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!