รู้จัก โรคต้อหิน ปล่อยไว้นานอาจมองไม่เห็นถาวร ใครบ้างเป็นกลุ่มเสี่ยงเช็กเลย!
พบได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ แต่กลุ่มที่พบมากที่สุด คือกลุ่มผู้สูงอายุ โดยผู้มีอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติใกล้ชิด เช่น พี่น้องบิดามารดาเป็นต้อหิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินมากกว่าบุคคลอื่นๆ คนที่มีระดับความดันตาปกติค่อนข้างสูงโดยเฉพาะสูงมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งในอนาคตมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหินมากกว่าคนที่มีความดันตาปกติค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ยังพบในคนไข้ที่เป็นเบาหวานได้ ค่อนข้างมาก อาจจะมากกว่าคนปกติโดยทั่วไป หรือพบในคนไข้ที่มีโรคการไหลเวียนเลือดไม่ดีทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ขั้วประสาทตาไม่ดี คนที่สายตาสั้น หรือยาวมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินแตกต่างชนิดกันไป
การดำเนินของโรคจากเริ่มเป็นจนถึงการสูญเสียการมองเห็น ใช้เวลานานเป็นปี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้อหินที่เกิดจากความเสื่อม ซึ่งไม่มีอาการใด ๆ จนกระทั่งสูญเสียการมองเห็น ซึ่งใช้เวลา 5 - 10 ปี จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าจะตรวจพบต้อหินระยะใด เช่น พบตั้งแต่ระยะเพิ่งเริ่มเป็นจะสามารถคุมไว้ได้ และอาจจะไม่สูญเสียการมองเห็น แต่ถ้าตรวจพบต้อหินระยะที่เป็นมากแล้วหรือระยะท้ายๆ คนกลุ่มนี้อาจสูญเสียการมองเห็นได้ในเวลาอันรวดเร็วอาจจะเป็นเดือนก็ตาบอด
อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปจะไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเริ่มเป็นต้อหิน ยกเว้นต้องมาให้จักษุแพทย์ตรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มต้อหินที่เป็นระยะเรื้อรังจากความเสื่อมที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่จะมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ต้อหินเฉียบพลัน ซึ่งจะมีอาการปวดตา ตาแดงทันทีทันใด ปวดมากจนคลื่นไส้อาเจียนต้องมาโรงพยาบาล ซึ่งพบได้ไม่น้อย
ขั้นตอนการตรวจหาต้อหิน
เริ่มแรกจะต้องวัดการมองเห็นก่อนว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ที่เน้นสำหรับการตรวจต้อหิน คือการวัดความดันลูกตา ซึ่งเป็นการตรวจที่สำคัญมากของการตรวจต้อหินเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่ควบคุมได้ นอกจากนั้นยังตรวจการทำงานและรูปร่างลักษณะของขั้วประสาทตาซึ่งเป็นอวัยวะที่กระทบกระเทือนโดยตรงจากต้อหิน
การมองในทางตรงจะยังมองเห็นอยู่ โดยที่การมองเห็นนั้นจะค่อย ๆ แคบเข้า ที่เรียกว่า ลานสายตาผิดปกติ คือโดยปกติคนเรามองตรงไปข้างจะมองเห็น ด้านข้างก็จะพอมองเห็นถึงแม้จะไม่ชัดเหมือนจุดที่เรามองตรง แต่ในกลุ่มคนที่เป็นต้อหินนั้น การมองเห็นด้านข้างจะค่อย ๆ แคบเข้า ๆ ช้า ๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ทราบและจะบอกไม่ได้เพราะจะใช้สองตาช่วยดูกันอยู่เพราะไม่ได้เปิดตาเดินทีละข้าง และทดสอบตัวเองเป็นประจำ และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติจนกระทั่งการสูญเสียลานสายตานั้นเข้ามาถึงบริเวณตรงกลางแล้ว ทำให้ภาพที่เรามองนั้นไม่ชัดจึงมาพบแพทย์ ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นระยะท้าย ๆ แล้ว
วิธีการรักษาโรคต้อหิน
หลักการรักษา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือลดความดันตา เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่ควบคุมได้ การลดความดันในลูกตานั้นมี 3 วิธีหลัก ๆ คือ ใช้ยา ใช้เลเซอร์ผ่าตัด โดยทั่วไปการรักษาต้อหินนั้น จะมีบางกลุ่มมีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องใช้เลเซอร์ แต่โดยทั่วไปนั้นต้องพยายามควบคุมด้วยยาให้ได้ก่อน เพราะถ้าควบคุมด้วยยาหรือเลเซอร์ไม่ได้ แล้วจึงผ่าตัดรักษา ความก้าวหน้าของการรักษา แต่เดิมมีเพียงยาหยอด 5-6 ชนิด ปัจจุบันมียาหยอดรักษาต้อหิน 14 ชนิด นอกจากจะมียาหยอดตาแล้ว ยังมียากิน ยาเม็ด ยาน้ำที่ช่วยลดความดันตาได้
ส่วนการรักษาทางด้านเลเซอร์มีข้อบ่งชี้เฉพาะของต้อหินแต่ละอย่างไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก สำหรับการผ่าตัดต้อหินเพื่อลดความดันลูกตา แพทย์จะต้องมีการเจาะรูที่ผนังลูกตาให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตาเพื่อลดความดันข้างในลูกตา การผ่าตัดต้อหินคงจะเป็นการผ่าตัดเดียวที่ไม่ต้องการให้แผลหาย เพราะต้องการให้น้ำระบายออกมา
นอกจากนี้ ยังมีการใช้สารเคมีบำบัดหรือยาที่ใช้รักษามะเร็งมาช่วยเสริมการผ่าตัดไม่ให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมาปิดรูนั้น เพื่อจะได้ระบายน้ำออกจากรูนั้นได้นานขึ้นหรือตลอดชีวิต ถ้าผ่าตัดด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังไม่เห็นผลร่างกายยังสร้างพังผืดมาปิดแผลหมด ยังได้คิดค้นสร้างท่อระบายฝังท่อเข้าไปในลูกตา แล้วระบายน้ำออกไปใต้เยื่อบุตาทางด้านหลังลูกตา ซึ่งโอกาสจะเกิดพังผืดขึ้นมาปิดดวงตานั้นน้อยกว่าการผ่าตัดโดยทั่ว ๆ ไป หลังจากช่วงการผ่าตัดระยะแรกจะมีการอักเสบบ้าง อาจจะมองไม่ค่อยชัดในช่วงแรก