
สาวสเปนเล่าประสบการณ์น่าตะลึงจากการป่วยโรคบูลิเมีย

เมื่อมองจากภายนอก เธอคือคนที่มีชีวิตเพียบพร้อม ทั้งเพื่อนฝูงและ หน้าที่การงานที่ดี อีกทั้งยังมีฐานะการเงินที่มั่นคง
ทว่าในความเป็นจริงเธอกลับกำลังต่อสู้อยู่กับโรคบูลิเมีย เนอร์โวซา (bulimia nervosa) ซึ่งเป็นความผิดปกติในการรับประทานที่ผู้ป่วยจะทานอาหารปริมาณมากในเวลาอันสั้น แล้วจะพยายามกำจัดอาหารที่เพิ่งรับประทานเข้าไปเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ด้วยการทำให้ตนเองอาเจียน ออกกำลังกายอย่างหนัก ใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ รวมทั้งอาจอดและจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทาน
ผู้ป่วยบูลิเมียมักมีอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล และมีปัญหาการใช้ยาเสพติดร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย ซึ่งอานา เป็นโรคนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น
นอกจากนี้เธอยังได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (borderline personality disorder) ซึ่งผู้ป่วยจะมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบอารมณ์ไม่คงที่ หุนหันพลันแล่น อารมณ์รุนแรงจัด มีพฤติกรรมทำลายตัวเอง และพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งอาจมีความกลัวการถูกทอดทิ้งอย่างรุนแรง
อานารอดชีวิตมาได้ แต่ได้รับอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เท้าและทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง
เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติหรือไม่ตอนที่เธอถูกนำขึ้นวีลแชร์เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของสเปน
อานาต้องเข้ารับการบำบัดที่นั่นเป็นเวลา 37 วัน ซึ่งตอนนั้นเองเธอได้เขียนบันทึกบอกเล่ารายละเอียดของช่วงเวลาที่เข้ารักษาอาการทางจิต
หลังแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล อานาได้เปลี่ยนการจดบันทึกดังกล่าวของเธอให้เป็นหนังสือที่ชื่อว่า "How I Flew over the Cuckoo's Nest" และใช้นามปากกาว่า ซิดนีย์ บริสโตว์
อานาเปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซี นิวส์ มุนโด หรือบีบีซีแผนกภาษาสเปน ถึงชีวิตและการต่อสู้กับปัญหาทางจิตของตัวเอง
ชีวิตวัยเด็ก
ฉันเป็นเด็กที่โตมากับค่านิยมที่พ่อคอยพร่ำสอน ฉันเชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ความจริงใจ และความสำคัญของการมีความรู้
พ่อของฉันเป็นวิศวกรที่ทำงานให้บริษัทอเมริกัน ส่วนแม่เป็นนักชีววิทยา แต่ท่านไม่ได้ทำงานประจำมานานแล้ว
พ่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้ตอนเด็กพวกเราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ใหญ่ขึ้นอยู่เสมอ
ทว่าการย้ายบ้านแต่ละครั้งก็ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนโรงเรียนไปด้วย
ความเปลี่ยนแปลง
ตอนอายุได้ 13 ปี ฉันต้องย้ายบ้านและโรงเรียนอีกครั้ง พ่อแม่ให้ฉันเข้าโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุด
ที่นั่น ค่านิยมที่ฉันได้รับการสั่งสอนจากพ่อกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย และมีแต่จะทำให้ฉันถูกรังแก
สิ่งมีค่าที่โรงเรียนนั้นคือการมีหน้าอกใหญ่ การสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม การมีหน้าตาสะสวยและผอม ตอนนั้นเองคือจุดหักเหที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เพราะฉันมี 2 ทางเลือกคือ ปรับตัวไปตามมันหรือไม่ก็ตาย
ฉันตัดสินใจที่จะยอมปรับชีวิตไปตามมัน ละทิ้งความเชื่อทุกอย่างที่พ่อสอนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมที่นั่น
สิ่งสำคัญในตอนนั้นคือการสวมเสื้อผ้าดี ๆ และมีรูปร่างผอมเพรียว แต่มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน
จุดเริ่มต้นของปัญหาการกิน
ฉันเริ่มกินอาหารปริมาณมากผิดปกติ และจะกระตุ้นให้ตัวเองอาเจียนออกมาด้วยการเอานิ้วล้วงคอ
นั่นคือสิ่งที่ฉันเคยเป็นและยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือกินปริมาณมาก ๆ แล้วรีบทำให้ตัวเองอาเจียนหลังจากนั้น
ฉันกินอาหารเท่าปริมาณสำหรับคน 4 คน ฉันเคยกินอาหารสุนัข กินอาหารจากกองขยะ หรือแม้แต่กินอาเจียนของตัวเอง
การกินช่วยให้ฉันสงบ เวลาที่ฉันรู้สึกวิตกกังวล การกินช่วยปลอบประโลมใจ มันเป็นวิธีที่ช่วยให้ฉันหลบหนีจากปัญหา
ตอนอายุ 16 ปี ฉันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพราะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์เป็นครั้งแรก
เรียนจบและได้เป็นนักกฎหมาย
แม้จะผ่านปัญหาต่าง ๆ แต่อานาก็เรียนจนสำเร็จการศึกษา และได้งานทำเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป
ฉันได้งานทำที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และวันที่ฉันเริ่มทำงานวันแรกก็เป็นวันเดียวกับที่ฉันย้ายออกจากบ้านพ่อแม่
ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่มันเป็นเรื่องโกหก ฉันไม่เคยหยุดทรมานตัวเองด้วยอาหารและการอาเจียน
ที่จริง เหตุผลแท้จริงที่ฉันตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ก็เพื่อที่จะสามารถทำอะไรก็ได้กับอาหาร โดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยจับตาดู
ฉันทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนหลายอย่าง ครั้งหนึ่งฉันอาเจียนออกมา และคิดว่า "มันน่าจะยังมีประโยชน์อยู่" ฉันเลยหยิบมันขึ้นมาและกินมันเข้าไปอีก
ฉันพบเดวิดตอนอายุ 28 ปี เขาหน้าตาดีและทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เราเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันพยายามอย่างหนักให้ความสัมพันธ์ของเราสมบูรณ์แบบ
ฉันไม่เคยปริปากบอกเดวิดถึงปัญหาของฉัน
เวลาฉันทานมากเกินไปตอนที่เราทานอาหารค่ำด้วยกัน ฉันจะบอกเขาว่าฉันรู้สึกหนาวและอยากอาบน้ำร้อน เสียงน้ำผักบัวที่เปิดช่วยกลบเสียงอาเจียนของฉัน จากนั้นฉันจะทำความสะอาดห้องน้ำไม่ให้เหลือร่องรอย
ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
ฉันจะโทรหาเดวิดวันละหลาย ๆ ครั้ง และส่งข้อความจำนวนมาก
ความหมกมุ่นของฉันรุนแรงถึงขั้นที่ครั้งหนึ่ง เดวิดไปเยี่ยมเพื่อนที่อเมริกาเป็นเวลาหนึ่งเดือน และฉันเสนอจะขับรถไปรับเขากลับจากสนามบิน
ฉันประหม่ามาก และก่อนจะไปถึงสนามบิน ฉันแวะไปที่บ้านพ่อแม่ ซึ่งที่นั่นพ่อเห็นฉันแอบเอามีดใส่กระเป๋าตัวเอง ท่านจึงถามว่าฉันจะเอาไปทำอะไร
ฉันตอบไปว่า "เดวิดมีท่าทีเหินห่างมากตอนที่คุยโทรศัพท์ ถ้าเขาบอกเลิกหนูตอนมาถึงสนามบิน หนูจะเอามีดเชือดข้อมือตัวเอง"
พ่อทำให้ฉันยอมทิ้งมีดไว้ที่บ้าน และเดวิดก็ไม่ได้บอกเลิกฉันในวันนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ขอยุติความสัมพันธ์ในเวลาต่อมา
การบอกเลิกที่นำไปสู่การใช้ยาเสพติด
ก่อนที่เดวิดจะทิ้งฉัน ฉันเพิ่งจะอาเจียน และตอนนั้นเริ่มมีการใช้ยาเสพติดเป็นครั้งคราว
แต่โรคบูลิเมียทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเราเลิกกัน และฉันก็ตกเป็นทาสของยาเสพติดทั้งเฮโรอีน และโคเคน
นอกจากนี้ฉันยังกินยานอนหลับถึงคืนละ 6 เม็ดเพื่อให้หลับไปจนถึงเช้า
เข้าสถานบำบัด
ฉันผลาญเงินจำนวนมาก จนท้ายที่สุดมีหนี้สินราว 20,000 ยูโร (ราว 6.8 แสนบาท)
แต่ฉันยังคงหมกมุ่นเรื่องอาหารและการมีรูปร่างผอมเพรียว
ฉันวิ่งวันละ 10 กิโลเมตร และเคยน้ำหนักเหลือ 42 กิโลกรัม
หลังเปิดใจกับพ่อ ท่านยอมที่จะช่วยปลดหนี้ให้ฉัน และฉันก็ยอมเข้ารับการบำบัดที่คลินิกแห่งหนึ่ง
เวลาที่อยู่ในคลินิกนั้นราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉันน้ำหนักขึ้นและคิดว่าตัวเองดูน่าเกลียดมาก



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว