ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”


ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

ผู้หญิงคนนี้ ผ่านจุดที่หนักที่สุดของชีวิตกับโรคร้ายที่อยู่ในตัวเธอ ทำให้เฉียดความตายมาหลายครั้ง แต่วันที่เรานัดทานข้าวกับเธอ เบลล่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังเหมือนเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ เรื่องหนึ่ง แววตาที่สดใส บุคลิกกระฉับกระเฉง ทำให้เรายากที่จะคิดว่าผู้หญิงคนนี้คือผู้ป่วยมะเร็ง และเธอ 1% ของโลกที่โรคร้ายลามไปสู่หัวใจ ใครที่กำลังท้อ เราขอให้คุณทำใจให้สบาย อ่านเรื่องนี้ และเตรียมอ้าแขนรับพลังบวกจากผู้หญิงคนนี้ได้เลย


เธอเหมือนเด็กสาวทั่วไป ที่ใช้ชีวิตแบบ "ต้องสุด"

เบลล่าบอกเราว่าชีวิตวัยรุ่นของเธอ ใช้เวลาไปกับการนอนโดยเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะ "นอนแล้วรู้สึกเสียเวลา" เธอถือคติที่ว่าเกิดมาทั้งทีต้องเอาให้สุด ตารางในแต่ละวันของเธอเลยแน่นเอี๊ยดตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน "ความสุดเริ่มตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมแล้ว เราอยู่เตรียมฯ ก็กลับบ้านแบบเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวัน วันไหนไม่มีเรียนพิเศษ ก็ต้องอยู่ทำกีฬาสีที่โรงเรียน เป็นประธานเชียร์ 2 ปีติด ช่วงปิดเทอม ถ้าไม่ออกค่ายอาสาไปต่างจังหวัดก็สมัครไปพวกค่ายผู้นำหรือสัมมนาอบรม อยากจะเก่ง อยากจะรู้ไปซะทุกอย่าง จะได้ไปนำเทรนด์เพื่อนๆ ได้ พอเรียนที่จุฬาฯ ก็ทำกิจกรรมตลอด อยู่คณะจนถึงดึก กลับไปถึงบ้านแล้วก็นั่งอ่านหนังสือถึงตีสองตีสาม ตื่น 7 โมง กลับไปเรียนใหม่ จนถึงช่วงทำงาน เราก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน ดูประมาณ 7-8 โปรเจคท์ ประชุมทั้งวัน ออกไปหาลูกค้า ทำพรีเซนเทชั่น หลายๆ วันที่ลืมกินข้าวเที่ยง มารู้ตัวอีกทีเย็นซะแล้ว การสั่งข้าวกล่องมากินในห้องประชุมเป็นเรื่องปกติมาก กว่าจะได้กลับบ้านคือสี่ห้าทุ่ม วันศุกร์ก็ไปปาร์ตี้เฮฮากับเพื่อนจนถึงเช้ามืด ชีวิตวนลูปไปอย่างนี้ทุกอาทิตย์"

 

ร่างกายเริ่มเล่นงานเธอแบบไม่ทันตั้งตัว

เธอออกจากงานไปเรียนต่อป.โทที่อังกฤษ แต่ไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟสุดๆ ของเบลล่าก็ยังคงเหมือนเดิม เธอบอกเราว่าใช้หอเป็นแค่ที่ซุกหัวนอน เป็นที่เก็บของเฉยๆ "ทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน 2 ที่ เพราะอยากเก็บเงินไว้เที่ยว เวลามีวันหยุดก็ต้องออกไปนอกเมืองละ หรือถ้ามีเวลาหน่อย ก็ไปแบ๊คแพ็คประเทศอื่น" แต่อยู่ที่นั่นได้ประมาณครึ่งปีร่างกายเริ่มส่งสัญญาณบอกเธอว่าไม่ไหวแล้ว "ตอนนั้นเราลงแข่งกีฬา สามัคคีเกมส์ เป็นงานที่รวมนักศึกษาไทยทั้งหมดที่มาเรียนที่อังกฤษ เราก็แข่งวิ่ง แต่พอถึงจุดที่เข้าเส้นชัย เราหายใจไม่ทัน แต่ก็คิดว่าแค่เหนื่อยเฉยๆ เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่หลังจากนั้นก็เริ่มไอ ไอติดต่อกัน 4 เดือน เรากินยาที่พกมาด้วยก็ไม่หาย เริ่มมีเหงื่อออกที่หลังตอนกลางคืน แต่เราก็คิดว่าเป็นเพราะผ้าห่มขนเป็ดที่เราซื้อมา ประจำเดือนขาดไป เหนื่อยง่าย จริงๆ แล้วมันคืออาการของมะเร็งทุกอย่าง แต่เราไม่เคยเอะใจเลย"

 

จนถึงวันที่เป็นลม ล้มฟุบอยู่กลางผับ...

"คืนนั้นไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่ยังไม่ทันได้ดื่มอะไรเลย อยู่ๆ เราก็เป็นลมกลางผับ เพื่อนก็ตกใจ เราก็ตกใจ เพราะตั้งแต่เกิดมา นี่คือการเป็นลมครั้งแรก อีกครั้งนึงคือตอนอยู่ที่หอ ผัดกับข้าวอยู่ก็เป็นล้มพับไปเลย ไม่มีใครเจอด้วย จนเราฟื้นขึ้นมาเอง โชคดีที่ไฟไม่ไหม้ครัว" อาการหนักขนาดนี้แต่เบลล่าบอกว่าเธอไม่เคยผิดสังเกตอะไรเลย จนเพื่อนเริ่มทักว่าจะไหวหรอ สอบไฟนอลอีก 1 อาทิตย์ และคำว่า "สอบ" นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้เธอไปหาหมอ "หมอที่อังกฤษบอกว่าเราเป็นโรคไอกรน แล้วโปรเซสมันยาวนานมากกว่าจะได้รักษา อีกอย่างคือเราคิดว่าไม่น่าใช่โรคนี้เพราะเคยฉีดวัคซีนก่อนบินไปเรียนแล้ว เลยตัดสินใจกลับไทยเพื่อที่จะได้ไปโด้ปยา เอาให้หายก่อนสอบ แถมหลังสอบก็มีแพลนไปแบ๊คแพ็คที่ฝรั่งเศสต่อด้วย"



หมอบอกว่าเธอเป็นมะเร็ง และมีเวลาเหลืออยู่แค่ 6 เดือน

"กลับมาปุ๊บยาวเลยค่าาา" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะตอนที่คิดย้อนกลับไปถึงตอนนั้น เบลล่าคิดว่าเธอเป็นโรคภูมิแพ้ แต่ผลจากการเอ็กซ์เรย์พบว่าเธอมีก้อนเนื้อประหลาดอยู่ในปอดข้างหนึ่ง "คุณหมอบอกว่ามีก้อนเนื้อประมาณ 10 เซนอยู่ที่ปอดข้างขวา เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งอะไรเลย คิดแต่ว่ามันเกิดได้ก็น่าจะยุบได้ ไม่น่าอันตราย เราก็โทรหาป๊าบอกว่าหมอนัดมาวันพรุ่งนี้อีกทีมาทำซีทีสแกน เนี่ย มีเนื้องอกขึ้นมาตั้ง 10 เซน แล้วก็ชวนคุยชิลๆ ถามป๊าว่าจะเอาอะไรมั้ยแถวโรงพยาบาลเดี๋ยวซื้อกลับไปฝาก แต่สิ่งที่ป๊าตอบกลับมาคือ ‘รออยู่ตรงนั้นเลย เดี๋ยวกูไปรับ' แล้วแกก็มาแล้วพาเราไปหาหมออีกโรงพยาบาลซึ่งมีฟิล์มเอ็กซ์เรย์ตอนตรวจสุขภาพก่อนไปเรียนต่อ" ในครั้งนี้หมอตรวจพบว่าเจ้าก้อนเนื้อที่ว่ากดทับเส้นเลือดในหลอดลมจนมีพื้นที่เหลือแค่ 20% ทำให้เธอหายใจเองไม่ค่อยได้ แถมที่โชคร้ายกว่าคือมันเป็นเนื้อร้าย ไม่มะเร็งปอดก็ต่อมน้ำเหลือง พัฒนามาถึงระยะที่ 2 แล้ว และเธอมีเวลาเหลืออยู่แค่ 6 เดือนเท่านั้น เราถามเบลล่าว่าความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเธอคืออะไร เธอตอบเราแบบสบายๆ ว่า "สมองเริ่มประมวลผลเป็นไทม์ไลน์แล้วว่า เรามีเวลาอยู่ได้อีก 2 ควอเตอร์เอง จะทำอะไรให้เสร็จทันได้บ้าง วิทยานิพนธ์เสร็จทันมั้ย สอบจบทันรึเปล่า งานพาร์ทไทม์หาคนมาแทนได้มั้ย เพราะเราชอบแพลนชีวิตข้ามปีเป็นแบบทีละควอเตอร์"

"ไม่กลัวตาย แต่กลัวไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำก่อนตาย"

เธอทำให้เราอึ้งสุดๆ เราถามเบลล่าว่าเธอไม่มีความรู้สึกกลัวตายหรือกลัวที่จะต้องเจ็บปวดเลยหรอ เธอบอกเราว่า "ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม เรากลัวผลที่โรคนั้นกระทบกับชีวิตเราและคนรอบตัวมากกว่า อย่างถ้าเป็นโรคไต เราเฉยๆ นะ แต่ถ้าเป็นโรคไตแล้วต้องฟอกไตทุกสัปดาห์ อันนี้เริ่มเดือดร้อนทั้งชีวิตตัวเองและคนอื่นละ อีกอย่างคือเรากลัวไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำก่อนตายด้วย กลัวมันค้างคา" ทั้งหมดนี้เบลล่าบอกว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูของครอบครัวเธอที่โตมากับความเป็นจริง และเธอเชื่อใจในวิทยาการแพทย์สมัยใหม่ด้วย

5 วันก่อนทำคีโม สิ่งที่เบลล่าทำคือ "ไปชอปปิ้งวิกผม"

ถามถึงการเตรียมตัวก่อนการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือคีโม เบลล่าบอกว่าสิ่งที่เธอทำก่อนที่จะต้องไปนอนโรงพยาบาลยาวๆ ก็คือการปรับไลฟ์สไตล์ "เราไปเปิดบริการ E-Banking เผื่อเอาไว้ใช้เวลาช็อปออนไลน์ ไปเคลียร์เรื่องฟันเพราะตอนนั้นเราดัดฟันอยู่ ไปตัดผม เดินซื้อวิก ลองจนได้ทรงที่เราชอบ" แต่สิ่งนึงที่เธอเว้นเอาไว้คือการอัพเดทกับเพื่อนๆ "เพราะบางคนรับไม่ได้ ร้องไห้หนักมาก ดราม่าใส่เราเพราะสงสารเรา เราเห็นก็เศร้าไปด้วยแถมต้องไปนั่งปลอบนางด้วย เลยไม่ได้บอกใครเป็นปีเลย ยกเว้นคนที่ต้องทำงานด้วยจริงๆ 2-3 คน เราว่าข้อนี้ช่วยได้มากๆ นะ"


ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”


ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”


ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

ให้คีโม 12 ครั้ง ฉายแสงอีก 18 ที 18 วันต่อเดือนในโรงพยาบาล

เบลล่าบอกว่าเธอเข้าออกโรงพยาบาลศิริราชเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง "ตลอดเวลา 2 ปีที่รักษาตัว เราอยู่โรงพยาบาลเดือนละ 18 วัน ให้คีโมไปทั้งหมด 12 ครั้ง ฉายแสงด้วยเพราะร่างกายดื้อยา ระหว่างที่ฉายแสง ติดโรคแทรกซ้อนเป็นวัณโรค ทำให้ต้องพักจากการฉายแสง รอให้ร่างกายฟื้นก่อน แต่พอมาเอ็กซ์เรย์อีกที ปรากฏว่าก้อนเนื้อก็ยังคงอยู่ แค่ลดขนาดจาก 10 เซนเป็น 6 เซน หมอเลยส่งเข้าไปฉายแสงอีกที รวมทั้งหมด 18 ครั้ง"

เธอคิดว่าตัวเองหายดีแล้ว แต่จริงๆ แล้วมะเร็งลามไปที่หัวใจ!

หลังจากที่เช็คว่าผลเลือดอยู่ในระดับปกติและร่างกายเริ่มแข็งแรงแล้ว เบลล่าก็ขออนุญาตหมอกับที่บ้านไปแบ๊คแพ็คที่ลาว แต่ร่างกายก็เริ่มกลับมาผิดปกติอีกครั้งตอนที่เธอเดินลงจากเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ พอกลับมาหาหมอ เอ็กซ์เรย์อีกที เจอว่าหัวใจโตขึ้นมาใหญ่มาก มีน้ำล้อมหัวใจ 3 เซน และก้อนเนื้อขนาด 4 เซนอุดอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา ตรงที่ปั๊มเลือดไปที่ปอด "หมอที่รักษาเราตกใจมากเพราะเขาไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อน ก็ไปตามอาจารย์หมอมา เราก็แอดมิดเข้าห้อง CCU เลยวันนั้น และต้องผ่าตัดอย่างด่วนเพื่อเอาก้อนเนื้อออก เพราะคุณหมอบอกว่าความเสี่ยงคือ ‘ตายได้ทุกวินาที' จากที่บอกว่าเรามีเวลาเหลือ 6 เดือน อันนั้นคือชิลๆ ไปเลย"




ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

เคสของเธอคือ 1% ในโลก และคนแรกในไทย

"คุณหมอใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการผ่า เพราะขั้นตอนค่อนข้างละเอียดและยากมากๆ ต้องค่อยๆ เลาะตัดซี่โครงเปิดออก เพื่อหยิบหัวใจออกมาผ่าก้อนเนื้อออก ระหว่างนั้นก็ใช้เครื่องปอดหัวใจเทียมเพื่อปั๊มเลือดเวียนในร่างกายทดแทนไปก่อน" ซึ่งโอกาสที่คนเราจะเป็นมะเร็งลามเข้าหัวใจเหมือนเบลล่าคือ 1% ในโลกเท่านั้น "หมอทุกคนก็ตกใจมากตอนที่ผลออกมาว่าเนื้องอกเป็นเนื้อร้าย เพราะหัวใจเป็นอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีโอกาสต่ำมากที่จะเกิดเนื้องอกในนั้นได้ และประเทศไทยก็ยังไม่เคยมีเคสนี้" และวิธีที่จะทำให้หายขาดจากโรคร้ายนี้ได้ทางเดียวคือ...

"หาสเต็มเซลล์ที่แมทช์กับของเรา" วิธีเดียวที่จะทำให้เธอรอด

คุณหมออีเมลไปถามโรงพยาบาลเมืองนอกถึงการรักษาการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ เปลี่ยนระบบเลือดในร่างกายทั้งหมด แต่ว่าวิธีนี้ก็มีความเสี่ยงเหมือนกันเพราะหมอจะต้องบอมบ์คีโมที่แรงกว่าทุกทีที่รักษาประมาณ 10 เท่า เพื่อให้ไขกระดูกเราระเบิดหายไปเลย และพอส่วนที่เป็นโรงงานผลิตเลือดในร่างกายหายไป เม็ดเลือดก็หายตามไปด้วย ภูมิต้านทานก็ต่ำ ซึ่งในภาวะนี้ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่ายมากและอาจจะทำให้เสียชีวิตได้เลย" แต่ความยากอีกอย่างคือการหาสเต็มเซลล์ที่แมทช์กับเธอ "ตอนแรกเราลองจากการเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองก่อน พยายามบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เพื่อที่จะให้ได้ถึงเป้าคือ 2 ล้านเซลล์ ซึ่งมันยากมากเพราะปกติคนเรามีแค่ประมาณ 5,000 ถึง 10,000 ยิ่งผู้ป่วยมะเร็งยิ่งต่ำกว่านั้น แถมที่ซวยคือเราติดเชื้อในลำไส้ตอนก่อนเก็บ ทำให้โดนงดน้ำ งดอาหาร 7 วัน พอผลออกมา ปรากฏว่าได้มาแค่ 300,000 เซลล์"

เสียใจที่สุดกว่าการเป็นมะเร็งคือตอนที่รู้ว่ารักษาไม่ได้..

เธอยังไม่หมดหวัง ระหว่างที่ให้คีโมรักษา พยุงอาการไปเรื่อยๆ เบลล่าก็ลองหาสเต็มเซลล์แบบทุกวิถีทางที่เธอจะทำได้ "เริ่มจากน้องๆ ทั้ง 5 คน ปรากฏว่าไม่มีใครแมทช์เลย หาจากสภากาชาด ซึ่งมีคนบริจาคเอาไว้ประมาณ 100,000 คน พอมาคำนวณกับอัตราการแมทช์คือ 50,000 คน เราก็คิดว่าคงไม่มีแน่ๆ ลองไปขอจากศูนย์เก็บสเต็มเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียที่ไต้หวันก็ไม่เจอ มีศูนย์ที่อเมริกากับอินเดียอีก แต่คุณหมอไม่แนะนำเพราะข้ามเชื้อชาติมาไกล สุดท้ายคุณพ่อกับเราเลยตัดสินใจมอบเคสเราให้เป็นวิทยาทาน ให้หมอได้ทำการทดลองรักษาได้เต็มที่ เพราะเราก็ลองยาที่มาจากอเมริกาครบทวีปแล้ว อาจารย์หมอที่ศิริราชก็คิดค้นยาขึ้นมาใหม่ให้"

 

เฮือกสุดท้าย ก้อนเนื้อก้อนใหม่ตรงที่เดิม

เหมือนจะแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว ไคลแม็กซ์อยู่ที่ว่าคุณหมอพบก้อนเนื้อก้อนใหม่ขึ้นมาตรงที่เก่าที่เคยผ่าออกไป และครั้งนี้ใหญ่กว่าเดิม! "ผ่านมาแค่ 1 เดือน แต่ก้อนเนื้อขึ้นเร็วมากจนหมอต้องไปดูบันทึกว่าผ่าออกไปจริงๆ รึเปล่า คราวนี้เลยรักษาโดยยาใหม่และการฉายแสง" เราถามว่ารู้สึกท้อจนอยากจะขอจากไปเลยเงียบๆ มั้ย เบลล่าเล่าให้ฟังว่าเคย "เพราะเรารู้สึกว่าต้นทุนชีวิตเราต่ำมาก ที่บ้านไม่เคยต้องมาเสียเงินอะไรกับเราเป็นหลักล้านถึงขนาดนี้และทุกคนก็เครียดมากๆ ด้วย จนวันนึงเราเริ่มรู้สึกว่าเราพอแล้ว ชีวิตเราไปกระทบกับคนอื่นมากเกินไป วันนั้นนั่งกินข้าวกับพ่อ เราก็เลยถามพ่อไปตรงๆ เลยว่า ‘ป๊า ถ้ามันไม่ไหว เราพอก่อนมั้ยป๊า' พอเราพูดจบประโยค พ่อก็ทิ้งจานข้าวแล้วเดินออกจากห้องไปเลย มารู้ทีหลังว่าเขาออกไปร้องไห้" แต่หลังจากที่เธอได้มานั่งคิด เบลล่าก็เจอคำตอบว่าความคิดแบบนี้ไม่แฟร์กับคนที่ต้องอยู่ต่อ เธอเลยตัดสินใจสู้เพื่อครอบครัวอีกหนึ่งครั้ง




ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”


ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

และโรคร้ายในตัวเธอก็สงบ จากบทเรียนนี้ทำให้เธอได้รู้ว่า...

เบลล่าทำวิทยานิพนธ์เสร็จ ได้สอบจบปริญญาโท และมะเร็งในตัวเธอก็แพ้หัวใจที่แข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้ เราถามเธอว่าจากเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เธอเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง เธอบอกเราสั้นๆ ว่า "ต้นทุนอะไรก็ไม่สำคัญเท่าต้นทุนสุขภาพ รักษาไว้ให้ดี และถ้าจะต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่แลกมาด้วยชีวิตตัวเอง มันก็ไม่คุ้มจริงๆ" และเมื่อเราถามเธอว่าหลักการอะไรที่ทำให้เธอแข็งแกร่งจนเอาชนะทุกอย่างในใจได้ เบลล่าบอกว่า "ทุกอย่างอยู่ที่สติ อะไรที่เกิดมาแล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ จะไปพะวงกับอนาคตที่ยังไม่มาถึงก็ไม่มีประโยชน์ รู้แค่ว่าเราควรทำอะไร และหน้าที่ของเราคืออะไร ทางออกของปัญหาจะมาหาเราเอง"




ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

ขอบคุณ cleothailand.com

ชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุด มารู้ตัวอีกที หมอบอกว่า “เธอเหลือเวลาบนโลกอีกแค่ 6 เดือน”

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์