รีบเช็คด่วน 5 อาการเสี่ยง! “โรคลิ้นหัวใจรั่ว” หาหมอด่วน


รีบเช็คด่วน 5 อาการเสี่ยง! “โรคลิ้นหัวใจรั่ว” หาหมอด่วน

หัวใจ เป็นอวัยวะภายในที่บอบบาง ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ทำงานเป็นกลไก ซึ่งหากส่วนหนึ่งส่วนใดมีความผิดปกติจะส่งผลกระทบกับการทำงานของหัวใจไปด้วยเช่นกัน

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคลิ้นหัวใจรั่วเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจโดยตรง หากรั่วหรือทำงานผิดปกติจะทำให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ลิ้นหัวใจทำหน้าที่กั้นห้องหัวใจในแต่ละห้องซึ่งมี 4 ห้อง โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. ลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง 2. ลิ้นหัวใจที่กั้นอยู่บริเวณหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย


จึงถือได้ว่าลิ้นหัวใจของร่างกายมีความสำคัญมาก เพราะหากเกิดความผิดปกติ เช่น ลิ้นหัวใจตีบ เปิดออกได้ไม่เต็มที่หรือลิ้นหัวใจรั่วปิดไม่สนิท หัวใจจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม หากเกิดความผิดปกติติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ รั่ว และอาจส่งผลร้ายแรง ถึงขั้นหัวใจวาย

นพ.เอนก กนกศิลป์ ผอ.สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจได้แก่ 1.ลิ้นหัวใจรูมาติค เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงลิ้นหัวใจ ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเกิดพังผืดและหินปูนมาเกาะจนไม่สามารถเปิด - ปิดได้เหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วขึ้น ส่งผลให้หัวใจวายได้

2.ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพทำให้ลิ้นหัวใจผิดรูป เปิด-ปิดไม่สนิท เกิดอาการลิ้นหัวใจรั่วได้ 3.เส้นเลือดหัวใจตีบ เกิดจากกล้ามเนื้อตาย อ่อนแรง เมื่อหัวใจตีบนานๆ จะทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว ส่วนใหญ่เกิดกับคนอายุ 50 - 60 ปี

ทั้งนี้ อาการที่อาจบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว คือ มีอาการบวมของท้อง หรือขา เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หรืออยู่เฉยๆ ยังมีอาการเหนื่อย และไม่สามารถนอนราบได้

ถ้ามีอาการเหล่านี้ ให้มาพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาลิ้นหัวใจสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซ่อมแซมลิ้นหัวใจเดิม ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและการวินิจฉัยของอายุรแพทย์หัวใจ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยต้องรู้จักดูแลตนเองภายหลังการรักษา ดังนี้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่หักโหมจนเกินไป หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารรสจัด หวาน มัน เค็ม เลิกสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ



เครดิตแหล่งข้อมูล : สยามรัฐ




เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์