มารู้จักสเต็มเซลล์กันเถ่อะ

ยุคนี้เราคงเคยได้ยินคำว่า #สเต็มเซลล์ (Stem cell) กันบ่อยครั้งและมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประโยชน์ในด้านการต้านความแก่ ความชราและการรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้หมอหล่อคอเล่าจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังกันเป็นข้อมูลพื้นฐานที่เข้าใจง่าย ๆ ไม่ลงลึกมากครับ (ข้อมูลแบบไม่กลางและเชื่อถือได้) เพื่อให้เรามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากขึ้น


สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร ?
"สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือ เรียกในภาษาไทยว่า #เซลล์ต้นกำเนิด คือ เซลล์อ่อนที่ยังไม่มีหน้าที่ของเซลล์ที่เฉพาะเจาะจง (Unspecialized) สามารถแบ่งเซลล์ขึ้นมาใหม่ได้เรื่อย ๆ (Long-term self-renewal) และ พร้อมจะเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งที่เฉพาะเจาะจงได้ (Differentiation) หรือ กลายเป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่าง ๆ ในร่างกายได้ (Specialized tissues)"

ในตอนนี้ เราสามารถแบ่งเจ้าสเต็มเซลล์ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 


(1) #สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (Embryonic Stem cell) คือ เซลล์ที่แยกจากเซลล์ชั้นในของตัวอ่อน #ระยะบลาสโตซิสท์ (Blastocyst) เซลล์ต้นกำเนิดในระยะนี้ พบได้ 3 - 5 วันเท่านั้น หลังการปฏิสนธิ คุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะได้ทุกชนิด


(2) #สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย (Adult Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บจากเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัยแล้ว พบได้ในร่างกายของเราทุกคน ตั้งเเต่เด็กยันผู้ใหญ่ เช่น สเต็มเซลล์จากไขกระดูก จากเลือด จากผิวหนัง จากรากฟันน้ำนม จากสายสะดือ ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และจากเซลล์ไขมัน เป็นต้น สเต็มเซลล์เหล่านี้จะคอยทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายตลอดเวลาเมื่อมีการบาดเจ็บหรือการเสื่อมของเซลล์ แต่จำนวนและความสามารถในการซ่อมเเซมจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นและความเเข็งเเรงของร่างกายในเเต่ละบุคคล นั้นเองครับ >> เเสดงให้เห็นว่า #ทุกคนมีสเต็มเซลล์เหมือนกันหมด ส่วนจะมากน้อย มีคุณภาพ หรือ เสื่อมคุณภาพขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง



จากข้อมูลในตอนนี้ เราใช้ประโยชน์ของสเต็มเซลล์ในทางการแพทย์ในหลายโรค เช่น

(1) กลุ่มโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง (Non-cancer) เช่น โรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมีย โรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด เป็นต้น โดยการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation) และ โรคเม็ดเลือดขาวต้านทานเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่ายเข้ามา (Graft Versus Host Disease : GVHD) โดยใช้ สเต็มเซลล์ได้ถูกนำมาสกัดเป็นยา ชื่อว่า "#Prochymal" ได้รับการรับรองจากประเทศแคนนาดา (US FDA ก็กำลังจะรับรอง) ซึ่งจัดว่าเป็นยาที่สกัดจากสเต็มเซลล์ ตัวแรกของโลกที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ นั่นเอง

(2) กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer) เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งไขกระดูก เป็นต้น โดยการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow transplantation) เช่นเดียวกัน
.
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีหลายการศึกษาที่ใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคในกลุ่มที่มาจากความเสื่อมมากขึ้น เช่น โรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์(Alzheimer) โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน (Parkinson) โรคอัมพาต โรคภูมิคุ้มกันต้านทานตัวเอง (Autoimmune diseases) เช่น โรค SLE เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เเล้วมักจะเป็นสเต็มเซลล์ชนิดที่เรียกว่า Mesenchymal Stem Cell (MSC) ซึ่งเป็น Adult Stem Cell นั่นเอง #แต่ยังต้องการข้อมูลงานวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และข้อพึงระวังในระยะยาว เรียกว่า ตอนนี้การใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคยังค่อนข้างไม่ชัดเจนเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเราที่ค่อนข้างล่าช้าและยังไม่ค่อยมีองค์ความรู้ในด้านนี้กันมากเท่าไร



เห็นไหมล่ะครับว่า "สเต็มเซลล์" ค่อนข้างเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมากและต้องอาศัยการเเพทย์ การวิจัย และเทคโนโลยีขึ้นสูงมากำกับ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมต่าง ๆ เครื่องสำอางสารพัดชนิด ที่โฆษณาว่ามีสเต็มเซลล์อยู่จึงเป็น #โฆษณาลวงโลกมากๆ ยิ่งบอกว่าสเต็มเซลล์จากพืช จากสัตว์อื่นเเล้วล่ะก็ ยิ่งไปกันใหญ่ครับ #เราเป็นคนจะใช้สเต็มเซลล์สัตว์ได้อย่างไรกัน อันนี้ขอฝากไว้พิจารณานะครับ หวังว่าเรื่องเล่าในวันนี้จะทำให้เราทุกคนมีความรู้เรื่องสเต็มเซลล์ที่เปิดกว้างมากกว่าเดิมนะครับ เรื่องนี้ยังต้องติดตามดูกันไปอีกยาว ๆ ครับ

 

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจ : หมอหล่อคอเล่า


มารู้จักสเต็มเซลล์กันเถ่อะ

เครดิต :
แหล่งที่มา: ขอขอบคุณ RS

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์