ปฏิบัติการกำจัดโรคติดหวานด้วยวิธี Sugar detox!! (คลิป)

เชิญรับชมคลิปวิดีโอ
vvvv
vvv
vv
v

ปฏิบัติการกำจัดโรคติดหวานด้วยวิธี Sugar detox!! (คลิป)

อาหารหวาน ขนมหวานที่อุดมไปด้วยน้ำตาลเป็นสิ่งที่ให้โทษแก่ร่างกายมากกว่าที่คิด คุณอาจจะรู้สึกดีในทันทีที่รับประทานน้ำตาลเข้าไป แต่หลังจากนั้นน้ำตาลจะก่อให้เกิดหายนะแก่ร่างกายเริ่มต้นจากทำให้น้ำหนักขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลสูง,โรคเบาหวานและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด และแม้จะยังไม่เกิดโรคต่างๆดังที่กล่าวมา น้ำตาลก็จะทำให้ร่างกายของคุณเฉื่อยชาลง ร่างกายอ่อนล้า ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย


ทุกวันนี้ผู้คนรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ที่สำคัญคือส่วนใหญ่รับประทานน้ำตาลผิดประเภท น้ำตาลที่ดีที่สุดมาจากผักและผลไม้ แต่น้ำตาลในน้ำอัดลมและขนมหวานเป็นน้ำตาลที่อันตราย แต่ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเสพติดมันเนื่องเพราะสมองมีการตอบสนองต่อน้ำตาลเหมือนกับที่มันสนองตอบต่อแอลกอฮอล์และยาเสพติด
ใช่แล้ว! น้ำตาลทำให้เกิดการเสพติดได้ 

ในปัจจุบัน มีกระแสสุขภาพที่ผู้คนหันมาพูดถึงกันมากอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ การล้างพิษน้ำตาล หรือ Sugar Detox ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือมากมาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวานนั้น กินมากก็ไม่ดี แต่จะให้ลดทันทีทันใดคงทำได้ยาก จนเกิดเป็นคำพูดติดปากว่าเพราะชีวิตขาดหวานไม่ได้ เพื่อนำมาใช้ลดทอนความรู้สึกผิดของคนที่เพิ่งหยิบขนมหวานเข้าปาก เอาเป็นว่าวันนี้จะขอพูดถึงการจัดการกับความหวานในอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ต่อสุขภาพกันค่ะ

สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น Sugar Detox จะไม่ใช่การกำจัดน้ำตาลออกจากร่างกาย แต่เป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้ร่างกายเรามีความต้องการความหวานลดลง เนื่องจากความหวานนั้นเป็นรสชาติที่ทำให้ติด ยิ่งเรากินมากเท่าไร เราก็จะยิ่งต้องการเพิ่มขึ้นเท่านั้น เช่น เมื่อก่อนเคยเติมน้ำตาลในกาแฟ 2 ช้อน รู้สึกหวานแต่ตอนนี้กลับไม่หวานแล้ว ต้องเติมเพิ่มถึงจะดื่มได้


ลดหวานอย่างไรได้บ้าง
วิธีลดหวานในแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนใช้วิธีหักดิบคือไม่กินอะไรหวานๆ เลย  ซึ่งตอนแรกจะรู้สึกโหยๆ แต่หากผ่านไป 1 – 2 สัปดาห์ ลิ้นเริ่มปรับระดับการรับรสใหม่ ไม่ติดหวานอีกเลยก็มี ซึ่งคนที่ใช้วิธีนี้ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ โดยมีหลักการง่ายๆ คือ

1. ไม่กินรสหวานที่ได้จากการเติมแต่งใดๆ เลยนอกจากความหวานธรรมชาติจากผลไม้

2. หากรู้สึกอยากหรือโหยมากๆ จะใช้รสชาติอื่นเข้ามาช่วยดึงความสนใจ เช่น รสเปรี้ยวจากมะนาวอาจช่วยลดความต้องการรสหวาน แต่ยังให้ความจี๊ดจ๊าดสดชื่น

หากทำได้ 1 – 2 สัปดาห์ แล้วกลับมากินรสหวานก็จะไม่สามารถกินรสหวานได้มากเท่าเดิมแล้ว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยปรับนิสัยติดหวานได้ดีค่ะ

อีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่ใจไม่แข็งพอและไม่พร้อมจะงดการกินหวานได้โดยสิ้นเชิง อาจจะใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไปในการเลือกและลดความหวานในอาหาร โดยก่อนอื่นเราต้องดูก่อนว่าความหวานที่เราติดอยู่นั้นมาจากอาหารประเภทใด เช่น

ถ้าเป็นคนติดน้ำอัดลม เป็นไปได้ว่านอกจากความหวานแล้ว ยังอาจติดความซ่าด้วย ก็ให้เปลี่ยนมาดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทน เช่น คอมบูฉะหรือน้ำชาหมัก ซึ่งจะมีความซ่าเฉพาะตัว ถ้าจะให้ดื่มง่าย เลือกเป็นสปาร์คลิ่งวอเตอร์ (น้ำแร่มีก๊าซ) และเครื่องดื่มโซดามะนาว เพราะให้รสเปรี้ยวและความซ่า แม้จะมีโซดาเป็นส่วนผสมแต่อย่างน้อยเราก็สามารถตัดน้ำตาลที่ได้จากน้ำอัดลมทั่วๆ ไปออกได้ จากนั้นค่อยๆ ลดปริมาณลง เป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยได้

ถ้าเป็นคนที่ต้องการความหวานโดยเฉพาะคือไม่ได้ติดความซ่าจากน้ำอัดลมหรือรสชาติและรสสัมผัสอื่นๆ ช่วงแรกๆ อาจเลือกดื่มน้ำผึ้งมะนาว ซึ่งจะได้ความหวานจากน้ำผึ้ง จากนั้นค่อยเปลี่ยนรสหวานให้เป็นกลิ่นแทน เช่น ดื่มน้ำที่ใส่ชิ้นผลไม้ลงไป (Infused Water) ซึ่งเป็นน้ำเปล่าที่มีกลิ่นและรสจางๆ ของผลไม้ วิธีนี้ก็ช่วยให้หายอยากและลดปริมาณน้ำตาลจากเครื่องดื่มหวานๆ ที่เคยดื่มได้มากทีเดียว

ปฏิบัติการกำจัดโรคติดหวานด้วยวิธี Sugar detox!! (คลิป)

ข้อควรรู้ จัดมื้ออาหาร Sugar detox
การมีวินัย : ในการล้างน้ำตาลจากระบบร่างกาย การมีวินัยในเรื่องของการจัดตารางอาหารเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการจัดตารางอาหารจะช่วยคำนวณระดับปริมาณของน้ำตาลที่จะเข้าสู่ร่างกายได้

ช่วงเวลาทรมาน : ในช่วง 9 วันแรกจะรู้สึกทรมานมากกว่าปกติสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำการล้างน้ำตาลจากระบบร่างกายมาก่อน เพราะร่างกายจะรู้สึกอยากที่จะรับน้ำตาล แต่ถ้าหากผ่านช่วง 9 วันแรกไปได้ก็จะทำให้ความอยากน้ำตาลสำหรับร่างกายลดลง

ระยะเวลา : สำหรับการดีท็อกซ์น้ำตาลจะต้องใช้ระยะเวลา 1 เดือน หรือ 31 วันในการใช้วิธีนี้ เพราะจะทำให้เห็นผลได้ให้ชัดเจนมากที่สุด

เทคนิค จัดมื้ออาหาร Sugar Detox
สำหรับเทคนิคในการจัดมื้ออาหาร เพื่อการทำการล้างน้ำตาลออกจากระบบในร่างกาย สามารถที่จะแบ่งได้หลากหลาย โดยอาจจะแบ่งตามช่วงเวลา หรือแบ่งเป็นสัปดาห์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน ทั้งนี้เทคนิคที่แนะนำจะเป็นการควบรวมทั้ง 2 รูปแบบมาไว้ด้วยกัน ดังนี้

สัปดาห์ที่ 1
เป็นสัปดาห์แรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร คือ

หลังตื่นนอน : ควรดื่มน้ำมะนาวผสมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว หรือ สลับกับการดื่มน้ำลูกซัด(ฟีนูกรีก) ที่แช่ค้างคืน 1 แก้ว // จะช่วยในการลดระดับน้ำตาลกลีเซอไรด์ รวมถึงไขมันร้ายในเลือด และสามารถที่จะช่วยดีท็อกลำไส้ให้สามารถดูดซึมสารอาหารอื่นๆได้ดีมากยิ่งขึ้น

มื้อเช้า : ซีเรียล 1 ถ้วย ผสมกับผลไม้ตามที่ชอบ (ผลไม้ควรเป็นชนิดที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย) // สำหรับซีเรียลแนะนำให้ใช้เป็นข้าวโอ๊ตที่ไม่มีการผสมน้ำตาล หรืออาจจะเป็นธัญพืชชนิดต่างๆ เพราะซีเรียลสำเร็จรูปส่วนใหญ่มักจะมีการผสมน้ำตาล

มื้อเที่ยง : อกไก่ย่าง เนื้อปลา เต้าหู้ เห็ด และสลัด หรืออาจจะเพิ่มเติมคาร์โบไฮเดรตเล็กน้อย // ทั้งนี้แนะนำว่าควรจะเน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์และผักเป็นส่วนใหญ่ เพราะสามารถที่จะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้นำไปใช้ ลดความอ่อนเพลียได้เช่นกัน

มื้อระหว่างวัน : ผลไม้อบกรอบ หรือผลไม้สด และธัญพืชจำพวกถั่วต่างๆ นอกจากนี้ยังมีของว่างที่ทำง่ายและแคลอรี่ต่ำอยู่มากมาย // มื้อระหว่างวันควรที่จะอยู่ประมาณบ่าย 3 โมง เพราะจะเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มอ่อนเพลียมาก และรู้สึกหิวได้ตลอด

มื้อเย็น : เน้นโปรตีน และสามารถเพิ่มเติมคาร์โบไฮเดรตได้เล็กน้อย แต่ควรจะต้องจำกัดปริมาณ // คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายควรได้รับอาจจะมาจากธัญพืช หรือการใช้คาร์โบไฮเดรตแบบโฮลวีท

สัปดาห์ที่ 2
มื้ออาหารสำหรับสัปดาห์ที่ 2 จากมีความคล้ายคลึงกับมื้ออาหารสำหรับสัปดาห์ที่ 1 แต่ทั้งนี้จะต้องเน้นในการเลือกผักหรือผลไม้รวมถึงอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลที่สะสมในร่างกายไปใช้ได้

สัปดาห์ที่ 3
มื้ออาหารในสัปดาห์นี้ก็จะเหมือนกับมื้ออาหารใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จะเน้นในส่วนของการเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรต ในรูปแบบเชิงซ้อน และจะเลือกรับประทานธัญพืชเป็นส่วนใหญ่ทั้งในมื้อหลักและมื้อของว่าง และนอกจากนี้สัปดาห์ที่ 3 มื้ออาหารจากสามารถเพิ่มการรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานได้

สัปดาห์ที่ 4
มื้ออาหารในสัปดาห์ที่ 4 สามารถจะเลือกกลับมารับประทานอาหารได้ตามปกติ เนื่องจากว่าร่างกายนั้นสามารถกำจัดภาวะติดหวานให้กับร่างกายได้แล้ว ดังนั้นจึงสามารถรับประทานขนมชนิดต่างๆได้ แต่ในทางที่ดีควรที่จะต้องอยู่ในการควบคุมการรับประทานอาหาร ไม่ให้มีปริมาณแคลอรี่มากเกินความต้องการของร่างกาย


ดังนั้นแล้วเทคนิคการจัดมื้ออาหารเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยในการลดภาวะติดหวานให้กับร่างกายได้ หรือถ้าหากว่าอยากรู้แนะนำว่าให้ลองทำดู จะพบความแตกต่างอย่างชัดจน ทั้งในเรื่องของสุขภาพ น้ำหนัก และรูปร่าง


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์